“ดีเจจั๊ด” ประเดิมฝีปากเก้าอี้โฆษกผู้นำฝ่ายค้าน แฉตระกูลชินวัตรจ้าง 4 บริษัทล็อบบี้ต่างชาติ เผยนายกฯ บินไปไหน “นช.แม้ว” จะกรุยทางนำหน้าก่อน เชื่อตามยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศ แนะ “ยิ่งลักษณ์” ชั่งความสำคัญก่อนบิน เน้นเข้าประชุมสภาบ้าง ไล่โฆษกเพื่อไทยแจงปัญหาโกงแทนคุ้ยใส่ร้ายฝ่ายตรงข้าม
วันนี้ (3 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายธีมะ กาญจนไพริน โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเดินทางไปประเทศโปแลนด์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3-5 ก.ค.นี้ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า การเผยแพร่วาทกรรมความคิดเรื่องประชาธิปไตยและความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีการว่าจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ และนักล็อบบี้จากต่างประเทศ 4 แห่ง คือ บริษัท บีจีอาร์กอฟเวอร์เมนต์แอฟแฟร์ เน้นการทำหน้าที่เจรจาเดินสายคุยกับนักการเมืองอเมริกันเผยแพร่วาทกรรมความคิดเรื่องประชาธิปไตยของ พ.ต.ท.ทักษิณฐ, บริษัท อัมสเตอร์ดัมแอนด์เฟอร์รอฟ บริการด้านกฎหมายของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ, บริษัทโคฟแอนด์คิมแอลแอลพี รับทำงานล็อบบี้และวางแผนด้านนโยบายเศรษฐกิจการเมือง และ บริษัท เบเคอร์บอทแอลแอลพี ของนายเจมส์ เบเกอร์ อดีต รมว.ต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเมืองสหรัฐอเมริกาโดยสองพี่น้องตระกูลชินวัตรทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อ จ้าง 4 บริษัทดังกล่าว
นายธีมะกล่าวว่า ทั้งนี้จากการตรวจสอบการเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตลอด 2 ปีในการบริหารประเทศพบว่า มีการเดินทางนอกประเทศ 109 วัน 5 ทวีป 43 ประเทศ และหากนับประเทศที่เดินทางซ้ำจะอยู่ที่ 1-3 รอบ และเกือบทุกครั้งก่อนการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปกรุยทางก่อน อีกทั้งการปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี เช่น ที่มองโกเลีย มีการพูดถึงการเมืองประเทศไทย โดยใช้เวทีนานาชาติโจมตีการเมืองประเทศไทย
“เชื่อว่าการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีมีเหตุผลหลักตามยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไทย สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง และรางวัลที่นายกฯ ได้รับมอบจากองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฟอร์บส์ นิวสวีก อาจจะเชื่อได้ว่าเป็นเพราะผลงานของ 4 บริษัทล็อบบี้ยิสต์ดังกล่าว จึงต้องตั้งคำถามว่าเป็นรางวัลที่ได้จากความสามารถของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือความสามารถของบริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่มีการจ้างไว้กันแน่” นายธีมะกล่าว
นายธีมะกล่าวว่า อยากให้นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อกิจการในประเทศมากกว่าการเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะภาระหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งการจำนำข้าว การกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ที่นายกฯ ยังตอบคำถามต่อสังคมไม่ได้ ดังนั้น การเดินทางไปต่างประเทศต้องชั่งน้ำหนักว่าอะไรสำคัญมากกว่ากัน จึงขอเรียกร้องไปยังนายกฯ ล่วงหน้าว่าในวันที่ 1 ส.ค. 56 เป็นต้นไปที่จะเปิดสภาขอให้นายกฯ ให้ความสำคัญเท่ากับการเดินทางไปต่างประเทศ ด้วยการร่วมประชุมสภาตอบกระทู้ถาม ให้ความร่วมมือกับกลไกการตรวจสอบของสภาให้มากกว่านี้ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อด้วย ไม่ใช่เข้าสภาเฉพาะแค่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
โฆษกผู้นำฝ่ายค้านยังฝากไปยังทีมงานโฆษกของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลว่า ตลอดเวลาที่ประชาชนเกิดความสงสัยเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในโครงการจำนำข้าวและเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท แต่โฆษกเหล่านี้กลับไม่ได้ทำหน้าที่ในการตอบคำถามสังคม แต่ใช้วิธีการซ้ำซากในเรื่องเดิมคือโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ในเรื่องหนีทหาร ปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอเรียกร้องให้เลิกโจมตีในเรื่องส่วนตัวที่ไม่เป็นความจริง เพราะนายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงไปแล้วหลายครั้ง อีกทั้งคดีก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม จึงขอให้ชี้แจงในส่วนที่สังคมสงสัยต่อการบริหารของรัฐบาลจะดีกว่า
วันนี้ (3 ก.ค.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายธีมะ กาญจนไพริน โฆษกผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการเดินทางไปประเทศโปแลนด์ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 3-5 ก.ค.นี้ว่า จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า การเผยแพร่วาทกรรมความคิดเรื่องประชาธิปไตยและความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีการว่าจ้างบริษัทประชาสัมพันธ์ และนักล็อบบี้จากต่างประเทศ 4 แห่ง คือ บริษัท บีจีอาร์กอฟเวอร์เมนต์แอฟแฟร์ เน้นการทำหน้าที่เจรจาเดินสายคุยกับนักการเมืองอเมริกันเผยแพร่วาทกรรมความคิดเรื่องประชาธิปไตยของ พ.ต.ท.ทักษิณฐ, บริษัท อัมสเตอร์ดัมแอนด์เฟอร์รอฟ บริการด้านกฎหมายของนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ, บริษัทโคฟแอนด์คิมแอลแอลพี รับทำงานล็อบบี้และวางแผนด้านนโยบายเศรษฐกิจการเมือง และ บริษัท เบเคอร์บอทแอลแอลพี ของนายเจมส์ เบเกอร์ อดีต รมว.ต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการเมืองสหรัฐอเมริกาโดยสองพี่น้องตระกูลชินวัตรทุ่มเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อ จ้าง 4 บริษัทดังกล่าว
นายธีมะกล่าวว่า ทั้งนี้จากการตรวจสอบการเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตลอด 2 ปีในการบริหารประเทศพบว่า มีการเดินทางนอกประเทศ 109 วัน 5 ทวีป 43 ประเทศ และหากนับประเทศที่เดินทางซ้ำจะอยู่ที่ 1-3 รอบ และเกือบทุกครั้งก่อนการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปกรุยทางก่อน อีกทั้งการปาฐกถาของนายกรัฐมนตรี เช่น ที่มองโกเลีย มีการพูดถึงการเมืองประเทศไทย โดยใช้เวทีนานาชาติโจมตีการเมืองประเทศไทย
“เชื่อว่าการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีมีเหตุผลหลักตามยุทธศาสตร์โลกล้อมประเทศไทย สร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง และรางวัลที่นายกฯ ได้รับมอบจากองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฟอร์บส์ นิวสวีก อาจจะเชื่อได้ว่าเป็นเพราะผลงานของ 4 บริษัทล็อบบี้ยิสต์ดังกล่าว จึงต้องตั้งคำถามว่าเป็นรางวัลที่ได้จากความสามารถของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ หรือความสามารถของบริษัทล็อบบี้ยิสต์ที่มีการจ้างไว้กันแน่” นายธีมะกล่าว
นายธีมะกล่าวว่า อยากให้นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญต่อกิจการในประเทศมากกว่าการเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะภาระหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดินทั้งการจำนำข้าว การกู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ที่นายกฯ ยังตอบคำถามต่อสังคมไม่ได้ ดังนั้น การเดินทางไปต่างประเทศต้องชั่งน้ำหนักว่าอะไรสำคัญมากกว่ากัน จึงขอเรียกร้องไปยังนายกฯ ล่วงหน้าว่าในวันที่ 1 ส.ค. 56 เป็นต้นไปที่จะเปิดสภาขอให้นายกฯ ให้ความสำคัญเท่ากับการเดินทางไปต่างประเทศ ด้วยการร่วมประชุมสภาตอบกระทู้ถาม ให้ความร่วมมือกับกลไกการตรวจสอบของสภาให้มากกว่านี้ในฐานะที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารและเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อด้วย ไม่ใช่เข้าสภาเฉพาะแค่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
โฆษกผู้นำฝ่ายค้านยังฝากไปยังทีมงานโฆษกของพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลว่า ตลอดเวลาที่ประชาชนเกิดความสงสัยเกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในโครงการจำนำข้าวและเงินกู้ 3.5 แสนล้านบาท แต่โฆษกเหล่านี้กลับไม่ได้ทำหน้าที่ในการตอบคำถามสังคม แต่ใช้วิธีการซ้ำซากในเรื่องเดิมคือโจมตีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ในเรื่องหนีทหาร ปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ จึงขอเรียกร้องให้เลิกโจมตีในเรื่องส่วนตัวที่ไม่เป็นความจริง เพราะนายอภิสิทธิ์ได้ชี้แจงไปแล้วหลายครั้ง อีกทั้งคดีก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาของกระบวนการยุติธรรม จึงขอให้ชี้แจงในส่วนที่สังคมสงสัยต่อการบริหารของรัฐบาลจะดีกว่า