รายงานการเมือง
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นับได้ว่าเป็นทายาทสืบสันดานนักโทษชายทักษิณอย่างแท้จริง เพราะพฤติกรรมการบริหารประเทศถอดแบบกันมาอย่างไม่ผิดเพี้ยน
ทั้งวิธีคิดออกแบบเปิดช่องงาบกันอย่างโจ๋งครึ่ม โดยเอาประชาชนมาบังหน้า สร้างความเสียหายแต่ไร้ความรับผิดชอบทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแทรกแซง แทรกซึม แทรกซื้อ สมยอม และ เซ็นเซอร์ตัวเองของสื่อสารมวลชนก็แผ่ขยายอำนาจในลักษณะที่ถอดแบบกันมาทุกกระเบียดนิ้ว เรียกว่า นักโทษชาย ภูมิใจตีตราประทับว่า “สำเนาถูกต้อง”
ในยุคพี่ชายนักโทษส่ง “ชินคอร์ป”เข้าซื้อหุ้นไอทีวีสำเร็จในช่วงปลายปี 2543 หวังใช้เป็นฐานเสียงการเมืองให้พรรคไทยรักไทยในขณะนั้น แต่ถูกต่อต้านโดยพนักงานไอทีวีกลุ่มหนึ่งที่มั่นคงต่ออุดมการณ์แห่งวิชาชีพไม่สยบยอมต่ออำนาจเงิน กระทั่งเกิดกรณี “กบฏไอทีวี” อันลือลั่น
และคนที่เข้าไปทำหน้าที่ปิดปากไอทีวีเพื่อปิดหูปิดตาประชาชนในขณะนั้นก็คือ นิวัฒน์ธำรงค์ บุญทรงไพศาล ตัวแทนจากบริษัทชินคอร์ปในขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันนั่งแท่นเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และมีข่าวว่ากำลังจะขยับก้นไปนั่งเก้าอี้ใหญ่กว่าที่กระทรวงพาณิชย์ ตามโผ ครม.ปู 5 นั่นเอง
พฤติกรรมการแทรกแซงไอทีวีให้เปลี่ยนจากโทรทัศน์เสรีมาเป็นโทรทัศน์เพื่อตระกูลชินวัตร มีตั้งแต่ห้ามไม่ให้ทำข่าวด้านลบต่อนายใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการ “ซุกหุ้น” ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ รวมถึงกรณีฮุบที่ธรณีสงฆ์เป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์
ไม่เพียงเท่านั้นนักข่าวภาคสนามที่ตั้งคำถามแทงใจ ทักษิณ เกี่ยวกับการซิกแซกซุกหุ้นไว้ที่คนรับใช้ ก็ถูกเปลี่ยนตัวย้ายให้ไปถามคนอื่นแทน มีคำสั่งห้ามไม่ให้ออกอากาศเรื่องของคนบาปที่ไปฮุบที่ธรณีสงฆ์ซึ่งยายเนื่อม ชำนาญชาติศักดา บริจาคให้กับวัดธรรมิกาวรวิหาร
นอกจากนี้ ยังมีการเข้ามากำหนดทิศทางและชี้นำประเด็นให้ฝ่ายข่าวต้องนำเสนอเนื้อหาตามใบสั่งเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของ ทักษิณ ที่กำลังก้าวเข้าสู่การชิงชัยในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ถึงขนาดสั่งห้ามไม่ให้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ที่นำเสนอเกี่ยวกับการซุกหุ้น และการฮุบที่ธรณีสงฆ์ กันเลยทีเดียว
แรงกดดันที่ถูกผู้บริหารจากชินคอร์ปปิดปากจนขาดความเสรีในการปฏิบัติหน้าที่สื่อมวลชน ส่งผลให้พนักงานไอทีวีรวมตัวต่อต้านแต่ก็ไร้ผล เพราะการเข้าครอบงำไอทีวีเพื่อกำหนดทิศทางการเมืองตามที่ตัวเองต้องการ
เหมือนที่ ทักษิณ มีความเชื่อว่า “ใครครอบครองสื่อคนนั้นครอบครองโลก” ก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และโจ๋งครึ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่สนใจจริยธรรมหรือคุณธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น
ที่ฮือฮามากที่สดคือคำสั่งเรียกรถโอบีถ่ายทอดสดกลับสถานีกะทันหัน ระหว่างเดินทางไปทำข่าวปราศรัยหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะที่พรรคไทยรักไทยได้สิทธิพิเศษในการเช่ารถโอบีของไอทีวีเพื่อถ่ายทอดการปราศรัยหลายครั้ง โดยไม่เคยทำบันทึกถึงฝ่ายข่าวแม้แต่ครั้งเดียว !
การเข้าควบคุมไอทีวีมิได้จำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะข่าวการเมืองเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงโต๊ะบันเทิง ที่ไม่ไปทำข่าวเปิดตัวนักร้องใหม่ ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ บุตรสาวคนเล็กของ เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว ทักษิณ จนคนใหญ่คนโตโกรธตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า สั่งด่วนให้ทำข่าวออกอากาศในทันที
แรงกดดันที่เกิดขึ้นทำให้พนักงานไอทีวีร่วมกันออกแถลงการณ์ 7 ข้อ เรียกร้องให้ ทักษิณ บุญคลี ปลั่งศิริ ผู้บริหารชินคอร์ป และ สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล กรรมการผู้จัดการไอทีวี ยุติการครอบงำ กดดัน กลั่นแกล้ง แทรกแซง อันเป็นการกระทำที่ละเมิดรัฐธรรมนูญปี 40 มาตรา 41
แต่นอกจากจะไม่ได้รับการตอบสนองแล้ว ยังเกิดผลกระทบตามมาที่ทำให้ จิระ ห้องสำเริง บรรณาธิการบริหารลาออกจากตำแหน่ง ท่ามกลางข่าวหนาหูว่า ถูกบีบให้ออกเพราะเป็นแกนนำออกแถลงการณ์ดังกล่าว ตามมาด้วยการสั่งปลดพนักงาน 21 คน ที่เรียกขานกันว่า “กบฏไอทีวี” เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2544 หลังพรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง และทักษิณ ผงาดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตามการต่อสู้อย่างเด็ดเดี่่ยวและเข้มแข็งของ กบฏไอทีวี ไม่สูญเปล่า โดยศาลแรงงานได้คืนความเป็นธรรมให้ โดยคดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2548 ปิดฉากคดีประวัติศาสตร์สื่อทีวีรวมตัวต่อสู้นายทุนที่ใช้เวลายืดเยื้อยาวนานถึง 4 ปีเต็ม
น่าเสียดายที่สื่อมวลชนในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไร้ซึ่งความอหังการ์ ขาดการยึดมั่นในอุดมการณ์ ทำให้นอกจากจะไม่มีใครลุกขึ้นมาต่อสู้การแทรกแซงสื่อหลักไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ หรือวิทยุแล้ว ยังประพฤติตัวไม่ต่างจาก “ขี้ข้าม้าครอก” ของนักโทษที่สั่งซ้ายหันขวาหันได้ดั่งใจอีกด้วย
ปรากฏการณ์แบนละคร “เหนือเมฆ 2” กลางอากาศจึงเกิดขึ้นอย่างไม่อายฟ้าดิน ในขณะที่ช่อง 3 อ้างน้ำขุ่นคลั่กว่าเนื้อหาละครมีปัญหากระทบด้านความมั่นคง แต่ท้ายที่สุด เหนือเมฆ กลายเป็นละครที่ได้รับรางวัลเมฆขลา ด้านส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ที่หมดโอกาสฉายฉากจบหน้าจอทีวี เนื่องจากเนื้อหาแทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจคนชักใยรัฐบาลจนเจ็บปวดกันทั้งครอบครัว
ความลุแก่อำนาจ สืบสันดานเผด็จการของรัฐบาลด้วยการปิดปากสื่อยังรุกคืบถึงขั้นบีบให้สถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101 ซึ่งเป็นของทหาร ปลดทนายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา ออกจากรายการ สนามข่าว เพราะไม่โปรดที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล
ความฉาวโฉ่จากการใช้อำนาจแทรกแซงสื่อของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังไม่ทันจางหายก็เกิดกรณีล่าสุดช็อคคนไทยด้วยการถอดสกู๊ปเปิดโปงภาวะขาดทุนของบริษัท K-Water ที่ได้ชิ้นปลามันจากการประมูลสร้างฟลัดเวย์กว่าแสนล้านบาท ชนิดที่เรียกว่า “ตัดฉับ” กลางอากาศ แบบที่คนดูไม่ทันตั้งตัว โดยนำโฆษณามาแทรกแทน
ก่อนที่จะมีคำชี้แจงจากผู้บริหารช่อง 5 ว่า เป็นการตัดสินใจของผู้บริหารที่เห็นว่าข้อมูลไม่รอบด้านและอาจถูกฟ้องร้องได้ ไม่ได้เกีี่ยวกับรัฐบาล
ประเด็นการถอดรายงาน K-Water กลางอากาศ กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ที่กระหึ่มอยู่ในโลกออนไลน์ จนเชื่อได้ว่าจะเป็นเชื้อปะทุที่ทำให้เกิดกระแสต่อต้านออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง เพิ่มเติมจากกลุ่มหน้ากากวีที่มีการเคลื่อนไหวเขย่ารัฐบาลอยู่ทุกอาทิตย์
ความน่าเศร้าสำหรับประเทศไทยวันนี้คือ นอกจากสื่อมวลชนขาดจิตสำนึก ยอมสยบต่อทรราช ร่วมปิดหูปิดตาประชาชนโดยไม่โต้แย้งแล้ว กองทัพบกก็กลายเป็นหน่วยงานที่คอยก้มกราบแทนที่จะหยัดยืนอย่างทะนงองอาจสู้ “อำนาจอธรรม”ให้สมกับเป็นชายชาติทหาร
แต่สิ่งที่กองทัพทำทั้งการปลด วันชัย สอนศิริ มาจนถึงการถอดรายงานข่าว K-Water ได้ตอกย้ำความจริงที่ว่า “ขี้ข้าตระกูลชิน” ไม่ได้มีอยู่เฉพาะในฝ่ายการเมือง แต่ในแวดวงราชการก็กระจายตัวอยู่ทั่วไป ไม่เว้นแม้กระทั่ง “สีเขียว”
ยุคนี้จึงอาจเรียกได้ว่า “เกาะชายกระโปรง” แล้วได้ดี เกียรติและศักดิ์ศรีไม่ต้องมีก็ได้! ยิ่งข่าวมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ ถึงการถ่างขาควบตำแหน่ง รมว.กลาโหมของ ยิ่งลักษณ์ชินวัตร กระหึ่มมากขึ้นเท่าไหร่
เราก็คงได้เห็นธาตุแท้ของคนที่อ้างตัวว่ามีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่ไปสวามิภักดิ์ต่อทุนสามานย์ได้เด่นชัดมากขึ้น