“ภราดร” ยันผู้ที่ถูกจับกุมคดีวางระเบิดปากซอยรามคำแหง 43/1 ไม่เกี่ยวกับกลุ่มก่อเหตุในพื้นที่ภาคใต้ เผยยังติดตามจับกุมอีก 2-3 คน ส่วนแนวทางการสืบสวนมุ่งขัดแย้งธุรกิจ-รับจ้างป่วนเมือง ด้านที่ปรึกษา “เฉลิม” เชื่อไม่เอี่ยวโจรใต้ แนะรัฐบาลประเมินเหตุรุนแรงเพิ่มขึ้นเกิดจากการพูดคุยสันติภาพกับบีอาร์เอ็นหรือไม่
วันนี้ (19 มิ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยลอบวางระเบิดปากซอยรามคำแหง 43/1 ได้ที่ จ.นราธิวาส ว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบสวนในชั้นต้นได้ข้อมูลว่าไม่เชื่อมโยงกับสถานการณ์ในภาคใต้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุไม่ได้อยู่ในบัญชีทำเนียบของผู้ก่อเหตุรุนแรง และกำลังสอบสวนอยู่ว่าผู้ก่อเหตุทำเพราะจุดประสงค์ใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีรายงานข่าวหรือไม่ว่าจะมีผู้ก่อเหตุจากชายแดนใต้ เข้ามาในพื้นที่ กทม. พล.ท.ภราดร กล่าวว่า คนที่เป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้ก็มีการขึ้นลงใน กทม.พอสมควร แต่มีไม่มาก ซึ่งไม่ชัดเจนว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไร มีทั้งที่มาพบปะกัน หรือมาทำงานบ้าง แต่เราต้องไม่ประมาท มีมาตรการเฝ้าระวังอยู่ทุกพื้นที่ และเรากำลังขายผลว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งในพื้นที่ยังไม่ได้รายงานตัวเลขที่ชัดเจนมา
เมื่อถามว่า หลังการเจรจากับกลุ่มบีอาร์เอ็นก็ยังมีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้น จะวางใจในช่วงเดือนรอมฎอนได้อย่างไร พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ในหลักการทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน แต่รูปแบบและวิธีการเรายังไม่ได้ข้อมูลจากทางบีอาร์เอ็น อย่างไรก็ตามเราต้องรับฟัง และมาดูเรื่องรูปธรรมต่อไป ส่วนเรื่องข้อเสนอ 5 ข้อนั้นยังอยู่ในหลักการที่พูดคุยกันไว้ และคงไม่เกิน 2 สัปดาห์น่าจะเสนอรายละเอียดกลับมาผ่านทางมาเลเซียถึงเราอีกครั้ง ทั้งนี้ทางกลุ่มบีอาร์เอ็นยืนยันว่าเขาสามารถสื่อสารได้ทั้งหมด แต่ยังมีส่วนน้อยที่ต้องทำความเข้าใจ ซึ่งเชื่อว่าจากการเปิดหน้าคุยกันเขาก็มีความจริงใจ
เมื่อถามว่า ได้ขอให้กลุ่มอาร์เคเคมาร่วมในการพูดคุยครั้งต่อไปหรือไม่ พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ก็พยายามดูอยู่ว่าถ้าคนที่มาพูดคุยมีแกนฝ่ายทหารมาก็จะดีขึ้น เพื่อการสื่อสารที่เร็วขึ้น ส่วนทางกองทัพของไทยก็เข้าใจ เมื่อถามถึงเอ็นจีโอที่ไทยจะให้เข้ามาสังเกตการณ์นั้น ตรงนี้ยังต้องมาตกผลึกร่วมกัน และแปลความหมายว่านัยยะคืออะไร
นอกจากนี้ ในส่วนของผลการพูดคุยสันติภาพกับกลุ่มบีอาร์เอ็น จะนำเข้าที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.) ในวันศุกร์นี้
พล.ท.ภราดร ยังได้กล่าวถึงการเฝ้าระวังต่อสถานการณ์ชุมนุมทางการเมืองในขณะนี้ ว่า ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้รับทราบนโยบายแล้ว เราก็ระวังทุกพื้นที่ ไม่ให้มีการขยายตัว รัฐบาลจะทำความเข้าใจและชี้แจงเพื่อไม่ให้ปัญหาขยายผล เท่าที่ดูสถานการณ์ตอนนี้ยังไม่ถึงจุดพีก แต่ถ้ารัฐบาลไม่รีบชี้แจงข้อเท็จจริงที่เป็นปัญหาต่างๆ ก็อาจจะขายตัวได้ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็กำลังเร่งชี้แจง เช่น เรื่องโครงการรับจำนำข้าว เรื่องการบริหารจัดการน้ำ งบ 2 ล้านล้าน และเรื่องอื่นๆที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อลดสถานการณ์ลง
เมื่อถามว่า คิดว่าการบ่มเพาะนั้น วันข้างหน้าอาจจะทำให้เกิดเป็นม็อบชนม็อบหรือไม่ พล.ท.ภราดร กล่าวว่า จากบทเรียนที่ผ่านมา ประกอบกับการที่รัฐบาลมีการสื่อสารกับทุกฝ่าย คิดว่าจะไม่มีปัญหาเรื่องการเผชิญหน้า
ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มหน้ากากขาวนั้น เลขาฯสมช. กล่าวว่า มีโอกาสที่จะขยายตัวได้ หากไม่รีบชี้แจงให้ชัดเจน เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวของกลุ่ม นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์
ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องท่อน้ำเลี้ยงของม็อบกลุ่มต่างๆตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ระบุ พล.ท.ภราดร กล่าวว่า เราก็ฟังจากทุกฝ่าย ส่วนจะมีพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น ตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ส่วนเรื่องท่อน้ำเลี้ยงของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบเราก็มีฐานข้อมูล เพราะในพื้นที่ข้างล่างนั้นมี แต่เมื่อเรามีความเคร่งครัดเรื่องกฎหมายการฟอกเงินก็ช่วยลดไปได้เยอะ
เมื่อถามว่า ช่วงนี้ดูเป็นช่วงขาลงของรัฐบาล มีการประเมินหรือไม่ว่าอาจจะมีม็อบเข้ามาอีก พล.ท.ภราดร กล่าวว่า เป็นเรื่องปกติตามวงรอบ เมื่อเข้าช่วงปีที่ 3 ของการทำงานรัฐบาลที่จะต้องออกมาเป็นรูปธรรม ทางการเมืองจึงมีความพยายามต่อสู้กัน
สำหรับกรณีที่ นายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นำรายงานกรณีการยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลปกครอง คืนตำแหน่งเลขาฯสมช.ให้ นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ต่อนายกรัฐมนตรีนั้น เลขาฯสมช.กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีก็ยังไม่ได้พูดอะไร คงต้องรอการตัดสินใจจากนายกฯ อย่างไรก็ตามนายกฯก็ยังมอบหมายงานตามปกติ ไม่มีอะไรต้องกังวล และพื้นฐานการเป็นทหารตนอยู่ได้ทุกพื้นที่
ด้านนายอับดุลเราะห์มาน อับดุลสมัด ประธานสมาพันธ์คณะกรรมการอิสลาม 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และที่ปรึกษา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีตำรวจจับกุมตัวคนร้ายลอบวางระเบิดปากซอยรามคำแหง 43/1 อยู่ระหว่างตรวจสอบความเชื่อมโยงกับเหตุความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะเชื่อมโยงกันเพราะตามปกติแล้วกลุ่มขบวนการจะเคลื่อนไหวในพื้นที่ของตนเองเป็นหลัก ตามเขตงานที่แบ่งกันชัดเจน ไม่ค่อยจะมีการข้ามเขตกันเท่าไหร่นัก และที่ผ่านมาไม่ค่อยปรากฏว่ากลุ่มขบวนการเดินทางขึ้นไปก่อเหตุยังกรุงเทพฯ ส่วนสถานการณ์ความรุนแรงในช่วงหลังๆ นี้ที่เกิดเหตุแทบจะทุกวัน และเกิดทั้ง 3 จังหวัดนั้น ตนมองว่าทางเจ้าหน้าที่รัฐต้องมีการประเมินว่าความรุนแรงที่บ่อยขึ้นเกิดจากอะไร มาจากผลพวงการพูดคุยสันติภาพหรือไม่ หรือเป็นเพราะเหตุอื่นใด จึงทำให้สถานการณ์ภาคใต้ กลับยิ่งรุนแรงมากยิ่งขึ้น
พล.ท.ดิฏฐพร ศศะสมิต เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) กล่าวว่า การจับกุมผู้ก่อความไม่สงบใน จ.นราธิวาส และสารภาพว่าเป็นผู้วางแผนระเบิดบริเวณซอยรามคำแหง 43/1 นั้น ขณะนี้ทาง กอ.รมน.ยังไม่ได้รับรายงานเหตุการณ์ดังกล่าวจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ได้รับทราบข่าวว่ามีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งในขณะนี้ได้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
พล.ท.ดิฏฐพรกล่าวด้วยว่า ในวันนี้ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก จะลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ปัญหาความไม่สงบ และความคืบหน้าการปฏิบัติงานของผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในฐานะรอง ผอ.กอ.รมน. ตามที่ได้สั่งการไว้ตามกลุ่มงานต่างๆ รวมไปถึงเตรียมความพร้อมในการลงพื้นที่ของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะเดินทางลงพื้นที่เพื่อติดตามการทำงานของ ศปก.กปต. โดยในขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดว่าจะเดินทางลงพื้นที่ภายในวันใด