ASTVผู้จัดการ - วันนี้ (17 มิ.ย.) นับถึงเวลานี้ผ่านมาแล้ว 1 วัน กับการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม.เขต 12 ที่พรรคประชาธิปัตย์ สามารถล้มแชมป์เก่าเจ้าของพื้นที่อย่างพรรคเพื่อไทย ที่ส่ง นายยุรนันท์ ภมรมนตรี อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ซึ่งยอมลาออกจากตำแหน่งมาเพื่อลงสู้ศึกแทนนายการุณ โหสกุล อดีต ส.ส.เจ้าของพื้นที่ที่ถูกตัดสิทธิ มาได้อย่างเฉียดฉิวและค่อนข้างพลิกความคาดหมาย “ASTVผู้จัดการ” จึงได้สัมภาษณ์พิเศษ “นายแทนคุณ จิตต์อิสระ” ว่าที่ ส.ส.กทม. ถึงปัจจัยที่ทำให้เกิดความสำเร็จในชัยชนะครั้งสำคัญ หนทางแห่งชัยชนะ และรวมไปถึงหลังได้รับตำแหน่งต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร
“การที่ผมชนะการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตัวบุคคลซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ แต่ที่สำคัญกว่า คือ การร่วมมือของพรรค เช่น ในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา ผมคงทำคนเดียวไม่ได้ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคด้วย อย่างข้าวปลาอาหารที่เอาไปแจกชาวบ้านหลายแสนกล่องก็มาจากพรรค และประชาชนช่วยกันบริจาค แต่เราไม่ได้ช่วยแค่ทำอาหารบริจาค ยังมีการใช้รถขนคน ซึ่งรถก็จากการสนับสนุนของพรรคเช่นกัน” นายแทนคุณเปิดเผยถึงเบื้องหลังความสำเร็จในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
ประการที่ 2 ผมคิดว่าเรื่องความจริงใจ ทั้งฝ่ายเราและทุกฝ่าย เพราะต้องใช้ความจริงใจในการแก้ปัญหา ความเข้าใจในพื้นที่ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะชาวบ้านเขาอยากได้คนที่ใกล้ชิดเขา ไม่ห่างเหินกับเขา และที่สำคัญคงเป็นปัญหาของรัฐบาลด้วย เพราะที่ผ่านมาไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหาให้กับประชาชนเลย ซึ่งปล่อยไว้เรื่อยๆแบบนี้ มันก็ไม่ดี คนเขาเดือดร้อน อย่างปัญหาราคาพลังงาน ปัญหาความอยุติธรรม
ความอยุติธรรม?
การโยกย้ายข้าราชการ เช่น พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ มีชาวบ้านมาคุยกับผมว่า ฝากไปถามรัฐบาลหน่อยว่าทำไมถึงโยกย้ายคุณหญิงหมอด้วย ผมก็บอกว่าโอเคจะลองถามให้ ซึ่งไม่รู้ว่าจะได้คำตอบหรือเปล่า ประกอบกับมีเรื่องนายเอกยุทธ อัญชันบุตร เรื่องอะไรต่างๆเกิดขึ้น ทั้งเรื่องปัญหาโครงการจำนำข้าว มีหลายคนมาคุยว่าเป็นเงินภาษีของพวกเขา ช่วยไปตรวจสอบหน่อย อยากให้ทำหน้าที่ ไปช่วยตรวจสอบ ชอบพรรคนี้มาก โดยเฉพาะหมอวรงค์ ที่เป็นคนเปิดโปงเรื่องนี้ ทำให้ตาสว่างขึ้น เพราะเมื่อก่อนชาวนาชาวไร่เห็นว่านโยบายเรื่องนี้ดี แต่พอเอาเขาจริงแล้วไม่มีการตรวจสอบ ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชัน หากินกับความไม่รู้ของชาวนา
คะแนนที่เพิ่มขึ้นเพราะเสื้อแดงมอบให้?
ผมได้คะแนนโหวตจากกลุ่มคนเสื้อแดงมากพอสมควร เพราะเขาเริ่มค่อยๆ เห็นความไม่จริงใจของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ที่บอกว่าทำเพื่อประชาธิปไตยลดความเหลื่อมล้ำ แต่ยิ่งทำไปทำมา ไพร่ในวันนั้น กลายเป็นอำมาตย์ในวันนี้กันหมดแล้วด้วย คนเสื้อแดงในดอนเมืองเริ่มตาสว่างมากขึ้น อย่างน้อยเขาก็เห็นเราทำงานในช่วงน้ำท่วม เห็นความไม่จริงใจของรัฐบาล ที่เอาเงินภาษีของประชาชนไปถึงมือเกษตรกรคนยากจน ก็ไม่ได้เต็ม ดูเหมือนยังไม่มีคนมารับผิดชอบเลย นายกรัฐมนตรีก็ไม่รับผิดชอบ ไม่สนใจ รัฐมนตรี 3 คนที่นั่งแถลงข่าวก็ไม่มีคำตอบอะไรทั้งสิ้นว่าตกลงแล้วขาดทุนเท่าไหร่ ช่วงมาจังหวะทีมีการเลือกตั้งพอดีด้วย เลยมีส่วนช่วย ให้การเลือกตั้งของผมในครั้งนี้ นอกเหนือจากที่พรรคช่วยแล้ว
พื้นที่ที่ก่อนหน้านี้พรรคยอมรับว่ายากมาก ยากเกินกว่าที่จะเจาะเข้าได้ เช่น พื้นที่เสื้อแดง และพื้นที่เขตทหาร ที่ไม่ยอมให้เข้าไปหาเสียงเลย แต่กลับได้คะแนนในพื้นที่เหล่านี้เข้ามาเพิ่ม
ผมคิดว่าหลักๆ เป็นเรื่องของน้ำท่วม ที่พวกเขาเห็นผมเยอะมาก โดยเฉพาะพวกทหาร ที่ออกมาช่วยประชาชน เราก็มีการประสานงานกับทหาร เช่น ขอเรือเข้าไปอพยพคน เราเขาเต็มแล้ว ก็ต้องหาเรือไปต่อ ไปรับคนแก่ เด็ก ซึ่งมันต้องพร้อมทั้งรถทั้งเรือ จำเป็นต้องใช้รถใหญ่ ผมก็คนขนมาส่งให้ทหาร ช่วยดูแลหรืออย่างครอบครัวทหาร เราก็ช่วยดูแล มีข้าวกล่องไปส่งให้ถึงที่แฟลต โดยไม่มีการแบ่งแยกว่าใครขอมา ใครไม่ขอเราก็ช่วย
“ผมทำไปเพราะคิดว่าเราไม่ทิ้งกัน ซึ่งเป็นคำพูดที่ประชาชนพูดกับผมเอง ตอนเห็นสโลแกนที่ผมไปยื่นใบหาเสียงให้กับพวกเขา ให้ช่วยเลือกผมหน่อย เขาบอกว่า ‘ไม่ต้องยื่นหรอก คุณไม่ทิ้งพวกเรา เราก็ไม่ทิ้งพวกคุณ’ ตอนที่ได้ฟัง ผมก็รู้สึกภูมิใจมาก เพราะไม่มีใครคิดหรอกว่าจะมีการเลือกตั้ง แต่ 2 ปี มันก็ไม่เร็วหรอก ถ้าน้ำท่วมปุ๊ปแห้งปั๊บ ผมอาจจะไปคะแนนถล่มทลายมากกว่านี้ แต่ออกมาประมาณนี้ผมว่าก็โอเคแล้วล่ะ”
เพราะอย่าลืมว่า ฐานคะแนนเดิมในการเลือกตั้งที่ผ่านมา คะแนนผมเป็นรองอยู่ที่ 28,000 คะแนน ของเขา 40,000 กว่า ดังนั้น การสวิงกลับมาให้เราจากที่เป็นรองอยู่ 12,000 เพิ่มขึ้นมา 4,000 ขณะที่ฝ่ายเขาลดไป 10,000 ผมคิดว่าเขาก็ต้องคิดหนัก พรรคเพื่อไทยคงต้องประเมินเยอะพอสมควร ว่าเพราะอะไร แต่ผมคิดว่า ทางรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยต้องจริงใจกว่านี้ ว่าท่านทำอะไรไป หารับประทานกับความไม่เท่าทันของประชาชน มันน่าจะหมดยุคนี้แล้ว เพราะเป็นยุคโซเซียลมีเดีย การเสนอข้อมูลอย่างรวดเร็ว หลอกประชาชนไปวันๆ มันไม่ได้แล้ว จะต้องการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญคือต้องไม่ก้าวร้าว ไม่อคติกับคนที่เห็นต่าง สมมติเช่น ถ้าใครพูดหรือเสนออะไรที่ไม่เข้าหูเรา เราก็ต้องฟังว่ามีเรื่องนี้ด้วยหรือ สิ่งที่วิทยุเสื้อแดงพยายามให้ข้อมูลที่เป็นการปลุกระดม หรือยุแยงให้แตกแยกกัน บางทีก็มีเรื่องจริงบ้าง แต่บางทีก็เป็นมุมมองฝ่ายเดียวของเขา เราต้องมองทุกๆ สี เอาข้อมูลมา ประชาชนจะไม่ตกเป็นเหยื่อของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
หากจะเทียบการต่อสู้ ระหว่างเก่ง-การุณ กับ แซม-ยุรนันท์ อันไหนเหนื่อยกว่ากัน
ผมว่า เหนื่อยคนละแบบ สู้กับยุรนันท์เขาเป็นคนที่มีภาพลักษณ์ดี ผมก็เคารพนับถือพี่เขา เป็นแฟนคลับพี่เขา ใครที่หน้าตาดีก็ต้องมีแฟนคลับอยู่แล้ว รู้สึกว่าชาวบ้านก็ตอบรับเขาดีมาก แต่กับคุณเก่ง เขาก็เก่งสมชื่อ มีความถนัดแพรวพราว กลยุทธ์ในการทำพื้นที่ก็แตกต่าง สองท่านนี้จะมีความกล้าแตกต่างกัน แข่งกับพี่แซม เราก็ต้องชูนโยบายของเราเด็ด ส่วนต่อสู้กับคุณเก่ง เราก็ต้องเน้นปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ การกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามหลักนิติธรรม แต่ผมก็พยายามไม่พูดถึง ไม่ว่าจะเป็นใคร โดยใช้ “ยุทธศาสตร์ม้าลำปาง” คือจะใส่หน้ากากปิดหน้าตัวเองไว้ กันตาตัวเองไม่ต้องมองซ้ายขวา มองไปข้างหน้าอย่างเดียว เพราะถ้ามองซ้ายขวามันจะวอกแวก เดี๋ยวคนนั้นพูดอย่างนี้ คนนี้พูดอย่างนั้น ผมไม่สน มองไปที่ “เป้าหมาย” อย่างเดียว
ยุทธศาสตร์การรักษาเก้าอี้ ส.ส.ตัวนี้ให้อยู่ยาวนานที่สุด?
ผมคิดว่า มี 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ต้องแสดงความจริงใจในผลงานที่ทำมาแล้ว และที่จะทำต่อไป อย่างปัญหาน้ำท่วมขังในดอนเมือง การติดกล้องวงจรปิด โดยจะประสานงานกับผู้ว่าฯ กทม. โดยตรงให้ดูแล ซึ่งท่านก็เมตตามาก การได้รับชัยชนะครั้งนี้ นอกจากท่านผู้ใหญ่ในพรรคแล้ว ยังต้องขอบคุณผู้ว่าฯ กทม.ด้วย ที่มีบทบาทสำคัญช่วยเดินหาเสียงและแนะนำวิธีการ ในเรื่องนโยบาย ว่าจะทำอย่างไรให้สำเร็จ และ ส่วนที่ 2 ต้องเป็นกระบอกเสียงเรียกร้องการแก้ปัญหา ความสนใจความจริงใจ ทั้งเรื่องปัญหาพลังงาน น้ำมันแพง ก๊าซแพง ปัญหาความอยุติธรรม หรือการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น และ ส่วนที่ 3 วิสัยทัศน์เฉพาะพื้นที่ เช่น การให้ความรู้กับประชาชน ใน ด้านภาษาจีน อังกฤษ ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ทำได้ด้วยตัวเราเอง หรือการฝึกอบรมทักษะการตลาด การทำมาร์เกตติ้ง ด้วยการเชิญผู้รู้มาสอนและถ่ายทอด เพื่อยกระดับรายได้ในชุมชน ให้ดีขึ้น
นอกจากจะต้องขอบคุณประชาชน ที่มีวันนี้ได้เพราะประชาชนให้แล้ว ผมต้องขอบคุณพี่คม (นายชุติเดช สุวรรณเกิด อดีตหัวคะแนนที่ถูกสังหาร) ด้วย เพราะที่ผ่านมาเขาคอยให้กำลังใจผมมาตลอด เวลาเจออะไรที่เป็นปัญหา เจอเสื้อแดง เจอคนไล่คนโห่ แม้แต่เจออันตรายเขาก็คอยปกป้องผม เขาจะมีกล้องวิดีโอตัวเก่าๆ ไปไหนมาไหนก็จะคอยทำท่า ถ่ายเล่นบ้างจริงบ้าง เขาบอกว่าพวกมือปืนมันกลัวกล้อง ทุกวันนี้ผมไม่ลืมเลย เขาบอกว่าถ้าผมไม่เป็น ส.ส.เขาตายแน่ ตอนนั้นผมก็ไม่เชื่อ แต่วันนี้ผมได้เป็นแล้ว ก็บอกว่าพี่คมเป็นทั้งคนในครอบครัว เป็นผู้มีพระคุณ เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน ผมคิดว่าผมมีวันนี้ได้เพราะพี่คม ที่ทำให้ผมกล้าหาญขึ้น อดทนและต่อสู้เพื่อคนดอนเมือง อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
“ทุกวันนี้เวลาไปไหน ทุกคนก็จะพูดกับผมว่า จำได้เลยวันนั้นมากับพี่คม เอาเรือมาช่วยเก็บขยะ เราก็บอกว่าจิตอาสา มันกลายเป็นพลัง เป็นความกล้า พี่คมบอกว่าขอเชิญผู้กล้ามารับใช้ดอนเมือง โดยเน้นย้ำแต่คำว่ากล้าหาญ ผมบอกตรงๆ ว่าผมก็รักตัวกลัวตาย ไม่ได้บ้าบิ่นอะไร แต่การที่เรากล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง มันเกิดจากแรงบันดาลใจจากคนอย่างนี้ เขาทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนจนวันนี้ผมรู้สึกว่า เราต้องดูเขาเป็นแบบอย่าง ต้องนับถือน้ำใจและขอบคุณชาวดอนเมืองที่ให้โอกาสได้ทำงานเพื่อส่วนรวมด้วย”
ประชาธิปัตย์จะยึดเอาความมุ่งมั่นจนได้รับชัยชนะไปเป็นโมเดลทำพื้นที่ในภาคอื่นๆ?
ผมคิดว่า การทำงานหนักเป็นสิ่งจำเป็นของนักการเมืองเสมอ ไม่ว่าสังกัดพรรคไหน ตัวบุคคลก็สำคัญมาก แต่การทำงานหนักและจริงใจสำคัญกว่า จะสร้างภาพไม่ได้ งานภาษีสังคม เช่น งานบวช งานศพ ซึ่งเป็นงานรูทีน (ประจำ) ที่ต้องทำอยู่แล้ว แต่การที่เข้าไปแก้ปัญหา ให้ประชาชนในพื้นที่ ในเชิงโครงสร้างกายภาพ เช่น ถนนหนทาง ขยะ น้ำไหลไม่ไหล หรือ สิ่งที่เกี่ยวกับคน เช่น ปัญหาทะเลาะกัน อย่างตอนนี้มีบางพื้นที่ถูกไล่รื้อ เราก็ต้องเขาไปช่วยดูแล จะแก้อย่างไร ต้องใช้สติปัญหาเยอะขึ้น หรืออย่างหัวคะแนนถูกข่มขู่ เราจะปกป้องเขาได้หรือเปล่า ก็ต้องดูภาวะผู้นำเรามีไหม
การเป็น ส.ส.ไม่ใช่แค่ผู้นำที่ลอยตัวอยู่เหนือปัญหา แต่ต้องเป็นตั้งแต่กรรมกร วิทยากร บริกร เป็นกระบวนการ แก้ปัญหาอย่างมีระบบ ต้องเป็นเบ๊ รับใช้ประชาชน อย่างตอนน้ำท่วม ผมต้องเอาตัวตั้งเข่าให้เขาเหยียบขึ้นไปบนรถ คือ ทุกอย่างให้เขาด้วยจิตอาสา ซึ่งความสุขมันอยู่ตรงนี้ ถ้าเราทำโดยไม่ได้มุ่งหวังอะไรหรือถ้าเราคิดว่า เราทำแล้วได้อะไรทางการเมืองมันก็ยาก เพราะเราไม่รู้ว่ามันเมื่อไหร่ อย่างน้ำท่วมก็ผ่านมาแล้วตั้ง 2 ปี เพิ่งผ่านเลือกตั้ง ไปปี 2554 อีก 4 ปีกว่าจะไปเลือกตั้งใหม่ คนก็คงลืมกันหมดแล้ว
“ผมต้องขอขอบคุณ คนดอนเมืองที่ให้โอกาส แล้วจะบอกว่า โอกาสที่พวกคุณให้ จะไม่สูญเปล่า แต่มันเหมือนอากาศที่ให้ชีวิตผม ถ้าอากาศทำให้ชีวิตผมอยู่ได้ จะทำให้ผมมีโอกาสทำอะไรให้ดอนเมือง ชีวิตผมก็มีความหมาย อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ละลายหายไปอย่างแน่นอน ผมจะทำงานให้มากขึ้น เพราะชีวิตคนมันแสนสั้น ผมจะทำให้ชาวดอนเมืองได้อยู่ยั้งยืนยง ไปถึงลูกหลานของเรา และขอคำมั่นว่า จะทำให้ที่ดีที่สุด เพื่อตอบแทนที่พวกท่านได้มอบหมายให้กับเรา” นายแทนคุณกล่าวทิ้งท้าย