รายงานการเมือง
กระแสประชาชนหลายกลุ่มที่ก่อตัวขึ้นมาขับรัฐบาลปูกรรเชียง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้จะปากกล้าบอกไม่หวั่นโดยปรามาสว่าเป็นแค่คนส่วนน้อย รัฐบาลยังเสถียรภาพมั่นคง คนส่วนใหญ่ของประเทศยังหนุนหลังอยู่ครบ 4 ปีแน่นอน
แต่หลายอาการที่แสดงออกจากทั้ง นายกฯปูนิ่ม และทีมงานการเมืองรอบกายจากตึกไทยคู่ฟ้า รวมถึงพวกทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เห็นชัดว่า เริ่มไม่วางใจกับสถานการณ์แล้ว
เพราะหลายเรื่องที่ประชิดเข้ามาไม่ใช่แค่จำนำข้าวที่ถูกแฉออกมาว่า ขาดทุนประมาณการไม่ต่ำกว่า 2 แสน 6 หมื่นล้านบาท แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ล้วนไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลทั้งสิ้น
ยิ่งเมื่อมาเห็นภาพของจริงประชาชนที่ใช้ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์แทนที่จะอยู่บ้านหรือพักผ่อนหย่อนใจหาความสุขสำราญในชีวิต แต่กลับออกมาเคลื่อนไหวใส่ “หน้ากากขาว-กาย ฟอว์กส์" เมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มิ.ย.56 ที่หน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ แล้วเดินไปรวมตัวกันบริเวณหน้าหอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน อย่างคึกคักพร้อมใจกันร้องตะโกน
ยิ่งลักษณ์ get out ...ยิ่งลักษณ์ get out ...
ซึ่งดูจากภาพที่ปรากฏเห็นเด่นชัด ไม่ต้องปั่นตัวเลขกันให้มากเกินจริง ก็เห็นชัดว่าไม่ต่ำกว่า 3000 คนแน่นอน บางสื่ออาจให้มากหน่อย บอกเฉียด 4,000 คน ซึ่งเมื่อดูจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ระยะเวลาห่างกันแค่ 7 วันแต่คนมาร่วมกิจกรรมกันแบบพุ่งพรวด จากอาทิตย์ที่แล้วแค่ประมาณ 700 คน มาวันนี้มามากกว่าเกือบ 3 เท่า มันไม่ธรรมดาแล้วแน่นอน
ทั้งที่เป็นการเคลื่อนไหว โดยไม่มีแกนนำมาคอยปราศรัยหรือกำกับการเคลื่อนไหวว่าให้ทำอะไร ตะโกนอะไร ชูป้ายอะไร ไม่มีการออแกนไนซ์อย่างเป็นระบบ ไร้ซึ่งการประสานงานแบบการจัดตั้งม็อบทั่วไป ไม่มีสื่อของตัวเองคอยสนับสนุนการทำข่าวแบบประเภทรายงานสดตลอดการชุมนุม ยกเว้นแค่เพจ V for Thailand และเพจเครือข่ายหน้ากากขาวที่รายงานการเคลื่อนไหวครั้งนี้ทุกระยะโดยสื่อหลักแทบไม่รายงานข่าวใดๆ เลย แต่กลับมีคนเข้าร่วมมากขึ้นเรื่อยๆ
จนถึงวันนี้น่าจะยอมรับได้ระดังหนึ่งแล้วว่า หน้ากากขาวได้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการล้มล้างระบอบทักษิณ ที่ประชาชนจำนวนมากใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้ทนอึดอัด พร่ำบ่นรัฐบาล อยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์-ในโลกออลไลน์ จนถูกปรามาสว่าดีแต่วิพากษ์หน้าจอคอมพ์ ฯ ถึงเวลาจริงๆ ก็ไม่คิดทำอะไรเพื่อบ้านเพื่อเมือง
มาวันนี้ เมื่อความอึดอัดกับรัฐบาลเริ่มมีมากขึ้น ประชาชนก็เริ่มคิดได้แล้วว่า จะเก่งแต่ในโลกเฟสบุ๊ค-วิจารณ์อยู่แต่ในโลกออนไลน์คงไม่ไหว เลยเริ่มออกมาสู่ท้องถนนเพื่อต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์-ระบอบทักษิณกันแล้ว โดยที่ประชาชนที่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวต่างก็รู้ดีว่า มันยังเป็นแค่ก้าวแรกๆ ที่อาจมีคนมาร่วมด้วยน้อย แต่ก็เป็นก้าวแรกที่ทั้งหมดเชื่อว่า วันนี้อยู่แค่หลักร้อยแต่วันหน้าจะเป็นหลักพันและจากพันเป็นหมื่น จากหมื่นเป็นแสน และขยายต่อไปทั่วประเทศไทย
แค่นี้ยิ่งลักษณ์ก็เก้าอี้สั่นแล้ว
ปรากฏการณ์แบบนี้ หากคนในเพื่อไทยังปรามาส อาจช้าเกินแกงก็เป็นไปได้
เหลิม อยู่บำรุง บอกรัฐบาลไม่ให้ราคากลุ่มเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหน เพราะเป็นแค่ลมพัดยอดหญ้าก็ให้ปากเก่งต่อไป พูดแบบนี้ให้เยอะพูดบ่อยๆ ยิ่งได้ปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกฯ มาช่วยพูดเรียกแขกอีกสักคน ก็ยิ่งดี เพราะพวกนี้ไม่เคยสรุปบทเรียนจากฝั่งตัวเองที่เป็นคนเสื้อแดงหรือฝั่งตรงข้ามอย่างพันธมิตรฯ ว่าส่วนใหญ่แรกๆ ก็มาจากแบบนี้ทั้งนั้น เริ่มจากจุดเล็กๆ แล้วก็ค่อยๆขยายไปเรื่อยๆ
ดูอย่างนปช.วันนี้ที่ว่ามีกันเป็นแสนเป็นล้าน วันแรกๆของเสื้อแดงที่มาจากแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการหรือนปก. ตั้งเวทีกันท้องสนามหลวงสมัยรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็หลักร้อย แล้วก็ค่อยๆ ขยายจากนปก.มาเป็นนปช. การขยายตัวของการเมืองภาคประชาชน ฝั่งของตัวเองก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว
พวกต่อต้านไม่เอารัฐบาลยังแค่เริ่มก่อกระแสใช้วิธีจัดกิจกรรมสร้างแนวร่วมและบ่มเพาะอารมณ์-การให้ข้อมูลความรู้อย่างต่อเนื่องกับคนที่สนใจว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์บริหารงานล้มเหลวผิดพลาดบกพร่องอย่างไร ผ่านกิจกรรมหลากหลายอาทิจัดเวทีสัมมนา-การให้ข้อมูลผ่านเพจของเครือข่ายตัวเอง
ส่วนว่าพัฒนาการหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์จะพาไปให้ถึงจุดไหน ของแบบนี้ประมาทก็ไม่ได้
ทว่าที่เห็นแล้วก็คือแคมเปญ ยุทธการดอกไม้บานสะท้านปฐพีของเครือข่ายหน้ากากขาวที่รณรงค์ให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับการบริหารงานของรัฐบาลออกมารวมตัวใส่หน้ากากขาวตามจุดต่างๆ ในแต่ละจังหวัด เช่นหน้าห้างสรรพสินค้า-หน้าหอนาฬิกาจังหวัด ที่ทำกันไปหลายสิบจังหวัดทั่วประเทศเมื่อ 9 มิ.ย.ผ่านการแจ้งกิจกรรมทางเครือข่ายโลกออนไลน์ก็พบว่าแม้หลายจังหวัดอาจยังมีคนมาร่วมไม่มากนักเช่น 300 คนแต่ก็เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
แม้ปรากฏการณ์หน้ากากขาว จะเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 9 มิ.ย. 56 แต่การเคลื่อนไหวดังกล่าวก็เกิดขึ้นมาร่วมตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ผสมกับหลายเรื่องที่ทำให้รัฐบาลติดหล่มหนัก เช่นปมทุจริตรับจำนำข้าว -ปัญหาสินค้าราคาแพง ค่าครองชีพพุ่ง -ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาภาคใต้โดยที่นโยบายสำคัญของรัฐบาลคือการเปิดโต๊ะพูดคุยกับแกนนำบีอารเอ็นกลับไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังไว้
สถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้มีแต่รุนแรงมากขึ้น รัฐบาลยิ่งลักษณ์แก้ไม่ได้เลย เอาแต่มุ่งจะทำทุกอย่างเพื่อทักษิณ ชินวัตรและเสริมสร้างอำนาจตัวเองให้มากขึ้นผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และดันร่างพ.ร.บ.ปรองดอง จนผลโพลชี้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อไทยทำอยู่
หลากเรื่องที่รุมเร้าแบบนี้ ดูทรงแล้วแม้ยิ่งลักษณ์จะใช้มุกเก่าๆ ที่มักจะเกิดกับรัฐบาลแต่ละชุดที่พอเห็นว่าคนเริ่มเบื่อหน่าย อยู่ในช่วงขาลง คือการตั้งทีมทำงานเชิงรุกด้านการประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาล ที่สั่งให้เน้นประชาสัมพันธ์งานด้านบวกรัฐบาล 5 ด้านหลักมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นอาทิโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท--โครงการรับจำนำข้าว-ปัญหาภาคใต้-เรื่องการเมืองและการปรองดอง
โดยใช้วิธีให้มีตัวคนรับผิดชอบหลักคือนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี เป็นคนคุมทิศทางเรื่องนี้ โดยจะมีสำนักโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และอภินันท์ จันทรังษี ผวจ.บุรีรัมย์และว่าที่อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนใหม่เป็นลูกมือใหญ่ คอยร่วมกันประสานกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องเช่นปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวง-รมต.กระทรวงที่เกี่ยวข้องโดยตรงเพื่อวางแผนพีอาร์รัฐบาลตามแผนชิงพื้นที่สื่อสร้างข่าวบวกกลบข่าวเน่าของตัวเอง
อาการที่แสดงออกเห็นได้ชัดว่า ยิ่งลักษณ์และทีมงานการเมืองรอบกายรวมถึงทีมยุทธศาสตร์ของเพื่อไทย คงเริ่มประเมินเห็นแล้วว่า หากยังไม่รีบทำอะไร อาจไม่เป็นผลดีในระยะยาวก็เลยใช้วิธีเก่าๆ
ไม่รู้จะแก้ปัญหารุมเร้ายังไง เลยคิดกันแค่ง่ายๆว่า ก็ต้องต้องเพิ่มการโฆษณาชวนเชื่อผลงานตัวเอง ทั้งที่เป็นวิธีการซึ่งหมดยุคไปแล้ว ประชาชนเลิกเชื่อสื่อของรัฐมาเป็นชาติแล้ว
แต่เหตุที่พวกรัฐมนตรี-ทีมงานยิ่งลักษณ์ทั้งหลายต้องพยักหน้าเอาด้วยกับวิธีการสิ้นคิดแบบนี้ ดูแล้ววิธีการดังกล่าวมันน่าจะสอดรับกับกระแสข่าวที่สื่อรายงานว่ามีเสียงวีนดังออกจากบ้านพิษณุโลกวันที่ยิ่งลักษณ์เรียกแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลและรมต.หลายคนไปพบที่บ้านพิษณุโลกเมื่อ 7 มิ.ย. 56 แล้วรำพันว่า
“ตอนนี้ดิฉันโดนอยู่คนเดียว โดนถล่มอยู่ตลอด ไม่เห็นมีใครออกมาช่วยบ้างเลย รับเละอยู่คนเดียว ข่าวที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นข่าวที่เป็นผลดีกับรัฐบาลเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 70เปอร์เซ็นต์เป็นข่าวที่ไม่ดี เป็นข่าวลบต่อรัฐบาลทั้งนั้น”
ฟังเสียงตัดพ้อนายกฯสมองกลวงแบบนี้ ก็ไม่รู้คนไทยจะสงสารยิ่งลักษณ์หรือสงสารประเทศที่มีผู้นำ ห่วยแตกแบบนี้