ประธานวิปฝ่ายค้าน สวน “เจริญ” ยัน พ.ร.บ.ปรองดองฉบับ “เหลิม” เกี่ยวการเงิน ชี้พูดส่อขัดรัฐธรรมนูญ ระบุชี้นำชัดให้รวมร่าง “วรชัย” เผยประชาธิปัตย์ใช้ 50 ส.ส.จ้อ พ.ร.บ.งบปี 57 เน้นตีโครงการโกง
วันนี้ (28 พ.ค.) ที่รัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงกรณีที่นายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร ออกมาระบุร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน และสั่งบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแล้วว่า เรื่องนี้ฝ่ายค้านมองว่าร่างพรบ.ปรองดองเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ดังนั้น คำวินิจฉัยของนายเจริญ จึงอาจเป็นคำวินิจฉัยที่ที่ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะในมาตรา 143 (2) และ (3) นั้นระบุชัดเจนว่า ร่าง พ.ร.บ.เกี่ยวกับการเงิน หมายความถึงร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยเรื่องการจ่ายเงินแผ่นดิน และการดำเนินการที่ผูกพันทรัพย์สินของรัฐ ซึ่งตนมองว่าในมาตรา 4 ของร่าง พ.ร.บ.ปรองดองนั้นอาจมีผลผูกพันในอนาคตที่จะนำไปสู่การคืนเงินจำนวน 4.6 หมื่นล้านให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ดังนั้นตนจึงขอเรียกร้องให้นายเจริญทบทวนคำวินิจฉัยดังกล่าว
ส่วนที่นายเจริญออกมาระบุว่าหากจะมีการนำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองไปรวมกับร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ให้ใช้ร่างของ ร.ต.อ.เฉลิมเป็นหลัก และให้นำร่างของนายวรชัยมารวมนั้น นายจุรินทร์กล่าวว่า เป็นความเห็นที่ชี้ที่จะนำไปสู่การนำทั้งสองร่างมารวมกัน ตามที่ฝ่ายค้านได้ตั้งข้อสังเกตไว้ คือ การนำร่างทั้ง 2 ฉบับมาพิจารณารวมกัน แต่หากไม่พิจารณาก็คงต้องติดตามว่าร่างของนายวรชัย อาจจะกลายพันธุ์โดยเมื่อมีการพิจารณาในวาระที่ 2 ก็จะมีการแปรญัติในชั้นกรรมาธิการ ด้วยการใส่มาตรา 4 ในร่างของ ร.ต.อ.เฉลิมเข้าไปในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ส่วนความเห็นของนายสุวิจักษ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่มีความเห็นว่าไม่สามารถนำทั้งสองร่างมารวมกันได้เนื่องจากเป็นคนละหลักการกันนั้น ตนมองว่าถือเป็นความเห็นหนึ่งซึ่งหากมีการพิจารณาในเรื่องนี้ก็ควรหยิบยกความเห็นดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาด้วย
ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ยังกล่าวถึงการเตรียมการในการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณร่ายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 ว่า ขณะนี้ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มี ส.ส.ที่มีความจำนงจะอภิปรายประมาณ 50 คน โดยจะเน้นไปที่ประเด็นการดำเนินโครงการต่างๆ ของรัฐบาลที่ล้มเหลว ทุจริต โดยเฉพาะในเรื่องทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่ขณะนี้มีความชัดเจนแล้วว่าที่ผ่านมา 2 ฤดูกาลผลิต คือ 54/55 และ 55/56 นั้น รัฐบาลเป็นหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รวมแล้ว 5 แสนล้านบาท แต่มีการใช้หนี้ไปเพียง 8.3 หมื่นล้าน จึงถือเป็นตัวเลขของความล้มเหลว และจนถึงขณะนี้ยังมีข้าวที่ค้างสต๊อกอยู่อีก 10 ล้านตันที่ยังไม่ได้ระบาย นอกจากนี้ยังมีโครงการที่ตลอด 2 ปีรัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการ ขณะที่มีงบประมาณลงไปในโครงการดังกล่าวจำนวนมาก เช่น โครงการเงินกองทุนเงินออมแห่งชาติ 726 ล้านบาท และกองทุนโครงการกองทุนตั้งตัวได้จำนวน 6,300 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้เริ่มนับหนึ่งตามที่รัฐบาลได้เคยหาเสียงเอาไว้
