สะเก็ดไฟ
ลุแก่อำนาจ สังคายนาแผงอำนาจใหม่กันขนานใหญ่สำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายกฯ ปูกรรเชียง ระยะหลังตำแหน่งสำคัญๆ โดนโละกันระเนระนาดหมด ทั้งข้าราชการประจำ ทั้งข้าราชการเมือง โยกย้ายปรับเปลี่ยนกันคึกครื้นบนความเศร้าเสียใจของใครหลายคน
ทุกกระทรวง ทบวง กรม มีการขยับเขยื้อนกันมโหฬาร ส่วนใหญ่จับอาการไม่ใช่เพราะฝีไม้ลายมือไม่ถึงจึงโดนเขี่ย แต่เพราะไม่สนองอำนาจฝ่ายการเมือง และเหล่าขี้ข้านายใหญ่เลยโดนเด้งสายฟ้าฟาดกันกระเจิดกระเจิง
โดยเฉพาะที่สังคมกำลังให้ความสนใจ อย่างในราย นพ.วิทิต อรรถเวชกุล อดีตผู้อำนวยการองค์กรเภสัชกรรม (อภ.) ที่โดนเด้งออกจากตำแหน่งหลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบตามที่กระบวนการต้นน้ำอย่างบอร์ด อภ. ที่มี นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี ประธานบอร์ดมีมติปลดออกมาก่อนแล้ว
ตามกระแสข่าวที่มีออกมาก็ค่อนจะชัดสาเหตุเป็นเพราะพิษทางการเมืองที่เล่นงาน เพราะ “หมอวิทิต” ดันไปเหยียบตาปลาบรรดาขี้ข้ารัฐบาลปูเข้าให้ โดยเฉพาะเรื่องการทำซีแอล ที่ทำให้ไทยสามารถนำเข้ายาในราคาถูก และสามารถผลิตยาเองได้โดย อภ. ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงยาได้ และยังส่งผลให้รัฐบาลประหยัดงบประมาณ
ส่งผลให้บริษัทยาต่างชาติไม่พอใจ เพราะขายยาไม่ได้ หรือต้องลดราคาลงมา!!
แม้ นพ.ประดิษฐ สินธวรณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข จะปฏิเสธเสียงแข็งกับข้อหาดังกล่าว แถมอ้างว่าเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมก็ตาม
แต่หากสาวไส้กันลงลึก สังคมและคนวงในก็เห็นกันล่อนจ้อนอยู่แล้วว่า มันมีกระบวนการเขี่ย “หมอวิทิต” ที่ทำกันเป็นขั้นเป็นตอน ไล่ตั้งแต่การที่ “หมอประดิษฐ” มอบหมายให้นายกมล บันไดเพชร เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ไปดำเนินการร้องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันของขี้ข้าทักษิณ ให้สอบเรื่องการสร้างโรงงานวัคซีนล่าช้า และวัตถุดิบยาพาราเซตตามอล
เพื่อหาเรื่องปลด “หมอวิทิต” ออกจากตำแหน่ง!!
หลังจาก “หมอวิทิต” มีมลทินแล้วก็ชงให้ “บอร์ด อภ.” เป็นพิธีเพื่อมีมติปลด จากนั้นชงเข้า ครม.เพื่อให้มีมติรับทราบกันตามขั้นตอน เพื่อความชอบธรรมหวังกลบภาพไม่ให้เห็นเค้าลางทางการเมืองเข้าก้าวก่าย
แต่ปัญหาคือ กลบอย่างไรมันก็กลบไม่มิด!!
เพราะหากพลิกประวัติ ผลงานของ “หมอวิทิต” ดู ถือเป็นหมอคนหนึ่งที่มีผลงานโดดเด่นจับต้องได้ ที่สำคัญการมาดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ อภ. ทำให้ยอดขายยาและเวชภัณฑ์ของ อภ. พุ่งจาก 5,000 ล้านบาท เป็น 1.2 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ข้อหาที่ “หมอประดิษฐ” ให้นายกมลไปร้องต่อดีเอสไอ “หมอวิทิต” เองก็ชี้แจงหักล้างกันได้ทั้งหมด!!
ดังนั้นจึงหลบไม่พ้นการกระเด็นเพราะเซ่นการเมือง!!
อีกรายที่ตอกลิ่มพิษการเมืองได้อย่างแจ่มชัดว่า ลุกลามคืบคลานกันไปแล้วเกือบทุกกระทรวง แม้แต่กระทรวงเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครโฟกัสอย่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็ยังมิวายถูกกัดเซาะ
จากกรณีที่ “เสี่ยแมว” นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญูกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เด็กในสังกัด “เจ๊ ด.” ไปหั่นงบประมาณของสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) ซึ่งถือเป็นสำนักงานที่ได้งบประมาณก้อนโตที่สุดในกระทรวงออก 30 เปอร์เซ็นต์
ท่ามกลางกระแสข่าวเหม็นหึ่งถึงสาเหตุที่ตัดงบประมาณออกเพราะ “เด็กเจ๊ ด.” เกิดอาการมูมมาม เห็นเป็นกระทรวงเล็ก งบประมาณเยอะ ไม่มีใครสนใจ เลยกะซัดกันพุงกาง!!
แต่การสวาปามงบประมาณไม่ราบรื่น ตามรายงานข่าวที่ว่ากันว่า นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการ สวทช.ที่ฮึดฮัดขวางทาง ไม่ยอมให้หั่นง่ายๆ เลยออกมาสกัด ทำเอาเจ้ากระทรวงฉุนควันออกหูไม่พอใจ หมันไส้เลยไม่ต่ออายุราชการให้เสียอย่างงั้น ทั้งๆ ที่ขั้นตอนการสรรหาผู้อำนวยการ สวทช.จบสิ้นว่าให้ต่ออายุราชการ
มิหนำซ้ำ “นายทวีศักดิ์” ก็ถือเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับการยอมรับในเรื่องฝีไม้ลายมือจากข้าราชการในกระทรวง
การเด้งครั้งนี้จึงส่อเค้าไปด้วยเหตุผลที่ผู้อำนวยการคนดังกล่าวแข็งข้อ ไม่สนองนโยบายฝ่ายการเมือง!!
จนเกิดปรากฎการณ์ต่อต้านจากข้าราชการในกระทรวง อย่างเช่น การออกแถลงการณ์โจมตีในหัวข้อ “ไว้ทุกข์ให้กับความถดถอยของการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทย” การนัดแต่งกายด้วยชุดดำ และใบปลิวที่ร่อนไปทั่วกระทรวงจนสร้างความไม่พอใจให้กับเจ้ากระทรวง
ขณะที่ “เสี่ยแมว” เองก็ไม่ได้สะทกสะท้านกับปรากฏการณ์ดังกล่าว มิหนำซ้ำ ยังเล่นเกมใต้ดินสั่งเช็กบรรดาข้าราชการที่แข็งข้อแบบทันควัน
ในเวลาเดียวกัน ก็ประกาศออกไมค์เลยว่า “6 เดือนที่ผ่านมา ผมอยากถามผู้อำนวยการ สวทช.ว่า มีผลงานอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันที่สุด เห็นมีแต่ไปเปิดงานต่างๆ แต่ไม่เห็นงานอะไรที่เป็นรูปธรรม”
ถือเป็นการเปิดหน้าเลยว่า ไม่ชอบขี้หน้าข้าราชการรายนี้!!
ตามคิวเด้งข้าราชการน้ำดีสองกรณีข้างต้น ภาพเริ่มเดจาวูฉายซ้ำยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้าไปทุกขณะกันแล้ว โดยเฉพาะการบริหารประเทศด้วยการเน้นคนที่ทำงานสนองฝ่ายการเมือง ส่วนฝีไม้ลายมือจะเก่งกาจแค่ไหนไม่สน เอาเป็นว่า ไม่ฮือ ไม่อือ ไม่ดื้อ ไม่เถียง ถือว่าใช้ได้
ยิ่งเชลียร์เก่ง เข้าเมืองตาหลิ่วแล้วหลิ่วตาตาม อันนี้สอบผ่านฉลุย “ยุคแม้ว” ครองเมือง!!
ส่วนพวกคนเก่งเถรตรง ความรู้ความสามารถล้นมือ แต่ไม่สนองฝ่ายการเมือง พวกนี้โดนเตะกระเด็นเข้ากรุกันหมด ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม จับๆ อาการกันตามสถานการณ์โละข้าราชการเสี้ยนหนามออกจากอก แล้วเอาคนในคอนโทรลมาเสียบแทนระยะหลัง ชักส่งกลิ่นตุๆ
เพราะหากเหลือบตาไปมองสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน มันก็ดันสอดคล้องกันแบบชวนให้คิด เพราะวันนี้รัฐบาลกำลังปรับโหมดเดินหน้าบู๊แหลกลาญ ไม่ว่าจะเป็นการ “แตกหักศาล” จากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 68 และ 237
การใส่เกียร์ห้าเดินหน้าฟอกผิด “นายใหญ่” ด้วยการผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง โดยไม่สนกระแสสังคมและฝ่ายต้าน รวมทั้งการเร่งออกกฎหมายกู้เงินเป็นเสบียงกรังอย่างร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท
จับไต๋รัฐบาล บู๊บ้าบิ่นกันแบบนี้ มิวายต้องมีคิวเล็งยุบสภาอยู่ในหัวกันบ้าง
การวางผังอำนาจไว้รองรับ ด้วยการจับยัดคนของตัวเองไปวางไว้ตามจุดต่างๆ ให้เสร็จ ก่อนจะยุบสภาจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ
หลังจากนี้เลยต้องจับตากันอย่าลดละ หากมีการโยกย้ายตำแหน่งสำคัญๆ กันเกิดขึ้นอีก งานนี้ฟันธงไปเลย ถึงเวลาวางขุมข่ายอำนาจเตรียมพร้อมเพื่อยุบสภา ก่อนจะหวนกลับมากันอีกครั้ง
คิวนี้ “ทักษิณ” ถนัด ทำกันมาแล้วไม่รู้กี่หน