ผ่าประเด็นร้อน
ข่าวปลด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พ้นเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบก เริ่มได้ยินหนาหูมากขึ้นเรื่อยๆ เชื่อว่าในตอนแรกหลายคนอาจไม่สนใจ เพราะคิดว่าไร้สาระเป็นไปไม่ได้ ทั้งในเรื่องของกฎหมายที่่จะโยกย้ายระดับผู้บัญชาการเหล่าทัพใครสักคนนั้นแสนจะยุ่งยาก เพราะเป็นเอกเทศ มีสภากลาโหมพิจารณา ต่างกับการเด้งผู้บัญชการตำรวจแห่งชาติราวฟ้ากับเหว
ดังนั้นเมื่อความเป็นไปได้มีน้อยก็ต้องมาวิเคราะห์กันว่ามีข่าวแบบนี้ออกมาทำไมในช่วงนี้ และฝ่ายไหนน่าจะปล่อยออกมา และหวังผลอะไรกันแน่
จะว่าไปแล้วข่าวปลดผู้บัญชาการทหารบกแทบจะไม่ได้รับรู้กันเลยในหมู่สังคมภายนอก หรือแม้แต่สื่อทั้งหลายก็แทบจะไม่มีออกมาให้เห็น แต่กลายเป็นว่าฝ่ายที่ออกมาปฏิเสธกันอย่างครึกโครม ต้องย้ำว่า "ครึกโครม" มาจากฝ่ายรัฐบาลล้วนๆ ถ้าจะปะติดปะต่อร้อยเรียงก็น่าจะเริ่มต่นจากเวทีคนเสื้อแดงที่สนธิกำลังกับพรรคเพื่อไทยและฝ่ายรัฐบาลตั้งเวทีปราศรัยเพื่อปลุกระดมฝห้คล้อยตามเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายล้างผิดให้ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อให้เขาได้กลับบ้านก่อนที่จะลอยคอจนปอดบวมตายเสียก่อน กำลังเดินสายไปทั่วประเทศ กลายเป็นว่าเวทีนี้แหละที่ "เอาข่าวนี้มาปฏิเสธ" มาย้ำให้เห็นว่าไม่มีเรื่องดังกล่าว อ้างความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพเป็นไปด้วยดี และโบ้ยว่าเป็น "ข่าวลือข่าวเสี้ยม" ให้ทะเลาะกัน
และที่สำคัญยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีความคิดที่จะปลด พล.อ.ประยุทธ์ พ้นจากเก้าอี้ผู้บัญชาการทหารบกไปนั่งเก้าอี้ตัวอื่น ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมแต่อย่างใด
เริ่มจากบนเวทีคนเสื้อแดงก่อน กลายเป็นว่า จตุพร พรหมพันธุ์ เป็นคนออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าวเป็นคำพูดในทำนองรู้ว่าปล่อยมาจากฝ่ายไหน และต้องการอะไร จากนั้นก็รับลูกกันมาเป็นทอดๆ ทั้งเลขาธิการความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จนกระทั่งถึงรองนายกฯ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่ลีลาขึงขังตามสไตล์ปฏิเสธเสียงแข็ง
ล่าสุดทีมโฆษกกองทัพบกก็ได้ออกมาแถลงยืนยันไม่มีเรื่องความขัดแย้ง และก่อนหน่้านั้น พล.อ.ประยุทธ์ก็เคยยืนยันแล้วว่าไม่มีอะไร
หากพิจารณาจากข้อมูลแล้วจะพบว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเกษียณอายุราชการในปีหน้า ดังนั้นก็ถือยังมีโอกาสนั่งเก้าอี้ตัวนี้อีกนาน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องบอกตามตรงว่าเป็นการสร้างแรงกดดันให้กับตัวเองและคนอื่นเช่นเดียวกัน เพราะถ้าเขายังนั่งอยู่ที่เดิมมันก็ทำให้คนอื่นขยับขึ้นมาลำบาก มองในทางนี้ก็ต้องบอกว่า "อาจจะอึดอัด" กันบ้างเหมือนกัน
อย่างไรก็ดี อย่างที่บอกไปแล้วการจะปลดเขาพ้นจากตำแหน่งนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากเจ้าตัวไม่ยินยอมหรือเปิดทางให้ รวมไปถึงข้อเสนอและการเสียสละที่ลงตัวเท่านั้นก็จะอาจจะปลี่ยนแปลงได้ง่าย แต่ในเมื่อ "ประตูปลดค่อนข้างปิด" ดังนั้นก็มีอีกทางหนึ่งเป็นข่าวปล่อยออกมาอีกทางหนึ่งเพื่อหวังผลอะไรบางอย่าง
เพราะในความเป็นจริงหากพิจารณากันอย่างตรงไปตรงมาแบบไม่ต้องอ้อมค้อมก็ต้องบอกว่าการนั่งเก้าอี้ พล.อ.ประยุทธ์ สร้างแรงกดดันให้กับรัฐบาลไม่น้อย แม้ว่าเมื่อพิจารณาจากความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายระหว่างรัฐบาลกับกองทัพที่ผ่านมาเกือบสองปีถือว่าราบรื่นไม่เคยขัดใจกันออกมาให้เห็นเลย ไม่ว่ากับนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรซึ่งถือว่านี่คือตัวแทนของ ทักษิณ ชินวัตร โดยตรง รวมไปถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ส่งไปนั่งอย่างน้อยสองคน โดยคนล่าสุด คือ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต แม้ว่าในตอนแรกเป็นที่จับตามองว่าเข่ากันไม่ได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็ยังไม่มีอะไรในกอไผ่
แต่ถ้าถามว่า "เต็มร้อย" หรือไม่ ก็ต้องตอบตรงๆ ว่า "ไม่" เพราะถ้าพิจารณาจากแบ็กกราวด์ พิจารณาจากคำพูดของ ทักษิณ เมื่อครั้งโฟนอินกันเข้ามาในเวทีรัฐบาล เมื่อครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่ได้นั่งเก้าอี้เบอร์หนึ่งในกองทัพบก สมัยที่ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา เป็นผู้บัญชาการทหารบก และในฐานะเพื่อนร่วมรุ่น ตท.10 ทักษิณ ได้เคยลำเลิกบุญคุณว่าเป็นคนผลักดันขึ้นมา อ้างว่าที่ผ่านมาเคยถูก พล.อ.ประยุทธ์ (ขณะนั้น) บี้จี้ติดมาตลอด นี่ก็คือร่องรอยเก่าก่อน จนกระทั่งมาถึงเหตุการณ์ต่อเนื่องมาจนถึงยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่นำโดย อภิสิทธิ์-สุเทพ มีเหตุการณ์ชุมนุมคนเสื้อแดงที่ถูกส่งมาป่วนเพื่อกดดันให้ยุบสภา ทำให้ทั้งสองฝ่ายต้องอยู่ตรงกันข้ามก่อนที่จะมาจูนเข้าหากันในปัจจุบันต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะเรื่องปัญหาชายแดนภาคใต้ ทุกอย่างก็ดูชื่นมื่นดี
อย่างไรก็ดี เมื่อเวลาผ่านไปที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินมาเกือบสองปีเต็มกำลังถดถอยในทุกด้าน ที่สำคัญทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่ากำลังเดือดร้อนเรื่องค่าครองชีพที่แพงลิบลิ่ว ไม่ค่อยสนุกกับ "คนในครอบครัวชินวัตร" มากขึ้น วันๆ มีแต่เรื่องผลประโยชน์ของ ทักษิณ ชินวัตร เริ่มมีเสียงก่นด่า มีม็อบดาหน้าออกมาประท้วงแทบจะรายวัน ขณะที่ตัวนายกฯจะใช้ความสวย พูดจาสองสามคำประเภท "บูรณาการ" หรือ "ภาพรวม" ต่อไปคงไม่ได้แล้ว สังคมกำลังจับจ้องเรื่อง "สติปัญญา" มากขึ้น ปรากฏการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดความเครียดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เครียดไม่เครียดก็ลองสังเกตบรรยากาศตลกๆที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่จู่ๆมีการวางกำลังตำรวจพร้อมปืนเอ็มสิบหกรักษาการณ์อยู่นายสองนาย ซึ่งรับรองว่าบรรยากาศแบบนี้แทบจะไม่เคยเห็น อ้างว่าเตรียมพร้อมก่อนไปปฏิบัติหน้าที่ที่ชายแดนใต้ เมื่อเป็นที่จับตาก็สั่งถอนออกไปพร้อมๆ กับความฉงนสนเท่ของชาวบ้านที่ผ่านไปมา
เมื่อเครียดมันก็เป็นไปได้ที่จะต้องเกิดความระแวงรอบข้างไปหมด และเมื่อมองย้อนมาที่กองทัพทีไรมันก็รู้สึก "เสียวลึกๆ" ทุกที แม้ว่าพิจารณาตามสถานการณ์แล้วเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงอยากประคองตัวไปแบบนี้จนเกษียณอายุราชการมากกว่า คงไม่อยากดิ้นรนอะไรแล้ว เพราะถือว่าเดินมาถึงจุดสูงสุดในเส้นทางอาชีพ แต่อีกด้านหนึ่งฝ่ายทักษิณ แม้ว่าที่ผ่านมาจะไม่มีอะไรให้ต้องปีนเกลียว
ต่างฝ่ายต่างไม่รุกคืบเข้ามา แต่เพื่อความสบายใจก็ขอ "ปฏิเสธข่าว" เพื่อ "บล็อกบางคน" ไม่ให้ขยับเพื่อความชัวร์เอาไว้ก่อนมากกว่า!!