ผ่าประเด็นร้อน
ใครจะไปนึกว่าการเปิดเกมรุกเข้ามาพร้อมกันในทุกด้าน ทุกเครือข่ายของ ทักษิณ ชินวัตร จะเกิดผลสะท้อนกลับมาในทางตรงกันข้าม มีแต่ภาพลบกลับมาในทุกเรื่อง ใครจะนึกว่าในตอนแรกที่ ทักษิณ สั่งลุย ฝ่ายตรงข้ามน่าจะม้วนเสื่อจบเห่ในเร็ววัน เพราะมุทะลุดุดัน “จัดเต็ม” ในทุกเรื่อง
เริ่มตั้งแต่การผลักดันเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แม้ในเบื้องต้นย้ำว่าต้องการช่วยเหลือมวลชนทุกสีที่ทำผิดคดีการเมือง ยกเว้นแกนนำและคนสั่งการ แม้ว่าในเบื้องต้นอาจเป็นภาพที่ดูดีไม่น้อย แต่มันก็ยังเอื้อให้ตีความครอบคลุมไปถึงอยู่ดี อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ตามใจชอบในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งมีลูกน้องที่เป็นเสียงข้างมากอยู่แล้ว หรือแม้แต่การผลักดันร่างพระราชบัญญัติปรองดอง ที่ “คนรับงาน” หน้าเดิม อย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ได้กำลังใจเดินหน้าเต็มกำลังอีกครั้ง แม้ว่าจะถูกสังคมวิจารณ์ว่าไม่ยอมดูแลหน้าที่หลักของตัวเองนั่นคือ ดูแลแก้ปัญหาชายแดนใต้ก็ตาม
อย่างไรก็ดีเมื่อแยกพิจารณาเฉพาะร่างพระราชบัญญัติปรองดอง ที่ ร.ต.อ.เฉลิม รับงานมาผลักดันถือว่า “จัดเต็ม” จริงๆ และที่สำคัญได้รับการสนับสนุนอย่างสุดๆจาก ทักษิณ ชินวัตร เพราะ เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนาล้างผิดให้กับตัวเขาอย่างชัดเจน ทำให้มีท่ามาของคำพูดที่ว่า “ต้องเดินให้สุดซอย” ไงล่ะ ความหมายก็คือไหนๆ ก็ผลักดันเข้ามาแล้วก็เอาให้สุดๆ ไปเลยดีกว่า อะไรประมาณนั้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้สังคมได้เห็นธาตุแท้ ความเห็นแก่ตัวได้ชัดเจนอีกรอบ เพราะแม้ว่าในร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯ ที่แกนนำคนเสื้อแดงเสนอเข้าไปนั้นมีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือคนเสื้อแดงด้วยกัน มีเนื้อหาชัดเจน แต่ถ้าให้ “ตีความ” มันก็มีแนวโน้มครอบคลุมไปถึง ตัวเขาอยู่แต่ถึงอย่างไรในเมื่อมันยังไม่ “สุดซอย” อย่างที่ว่าก็ไม่ยอมเป็นอันขาด
ขณะเดียวกันยังเปิดเกมรุกดันเรื่องใหญ่ หวังต้องการเปลี่ยนโครงสร้างกันแบบยกชุด นั่นคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเข้ามาอีกรอบ คราวนี้เปลี่ยนแปลงวิธีการมาแบบรายมาตรา แต่ถ้าสำเร็จผลที่ได้ก็คงไม่ต่างกัน นั่นคือการลิดรอนอำนาจการตรวจสอบถ่วงดุลขององค์การอิสระ ลิดรอนอำนาจฝ่ายตุลาการเสียเหี้ยน ในทางตรงกันข้ามไปเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายรัฐบาลและรัฐสภาที่ตัวเองควบคุมได้อย่างเบ็ดเสร็จ
ที่น่าตลกก็คือพวกเขาอ้างว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ปิดทางการพิทักษ์รัฐธรรมนูญของประชาชน ปิดช่องทางของประชาชน ในการร้องให้ศาลรัฐธรรานูญตีความ ให้เหลือผ่านทางช่องทางอัยการสูงสุดเพียงช่องทางเดียวเท่านั้น โดยอ้างว่านี่คือประชาธิปไตย
นั่นเป็นความเคลื่อนไหวในสภา เชื่อมโยงกันทั้งพรรคเพื่อไทยและรัฐบาลของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ที่น่าสนใจก็คือการไฟเขียวให้คนเสื่อแดงอีกกลุ่มหนึ่งมาข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หลังจากรบคำร้องพิจารณาว่าการแก้ไขมาตรา 68 ทำได้โดยชอบหรือไม่ เป็นการตัดสิทธิประชาชนตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะถ้าในที่สุดศาลรัฐธรรมนูญชี้ว่าการแก้ไขมาตราดังกล่าวมิชอบ นั่นก็หมายความว่าเป้าหมายสำคัญที่ต้องการต้องสะดุดลงอีกครั้ง ความหมายเปรียบเทียบเหมือนอย่างที่ ทักษิณ ชินวัตร เคยพูดเอาไว้ว่า “กำลังลอยคอจนใกล้ปอดบวมตายแล้ว” ไม่อาจล่างผิดได้ และกลับบ้านอย่างเท่ไม่ได้
ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาจากปัจจัยอื่นๆ ทั้งจากผลงานของรัฐบาลที่ไม่ได้เรื่องได้ราว การแก้ปัญหาชายแดนใต้ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ปัญหาค่าครองชีพที่ของแพง ขายสินค้าการเกษตรตกต่ำ ภาพของพวก “ดีแต่กู้” กำลังติดตัวรัฐบาลพรรคเพื่อไทย การกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทก็โดนเขย่าอย่างรุนแรง ล่าสุดแม้แต่เรื่องปัญหาปราสาทพระวิหาร กับเรื่องคนในครอบครัวชินวัตรไปแต่งงาน “เกี่ยวดองข้ามชาติ” กับเขยเขมร ก็ยังกลายเป็นภาพติดลบถูกวิจารณ์นินทาในโลกโซเชียล
กลายเป็นว่าแทบทุกเรื่องที่เครือข่ายทักษิณ เปิดเกมรุกเข้ามาพร้อมกันกำลังโดนกระแสตีกลับ หรือถูกตอบโต้กลับไปอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน เพราะแม้แต่สุนทรพจน์ของ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ไปโอดครวญที่มองโกเลียว่าครอบครัวของเธอถูกรังแก แต่ก็ถูกประจานว่าโกหกเป็นการทำลายชาติตัวเอง ทำให้ตกเป็นเป้าถูกวิจารณ์ถูกจับตาในเรื่องสติปัญญามากขึ้นกว่าเดิม และบานปลายมาถึงการข่มขู่ปิดเว็บไซต์ แจ้งความดำเนินคดีกับศิลปินนักวาดการ์ตูนก็ยิ่งไปกันใหญ่ มีแต่ภาพลบไม่มีเรื่องบวกเข้ามาเลย ล่าสุดยังมีข่าวลือเรื่องปลดผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาอีก แม้ว่ายังไม่มีอะไรในกอไผ่ แต่มันก็ทำให้เกิดความตึงเครียด ไม่เป็นผลดี
ดังนั้น ถ้าให้สรุปก็ต้องบอกว่าน่าทีนี้แม้ว่า ทักษิณ ชินวัตร ยังกุมสภาพได่้ทุกอย่าง แต่จากสารพัดปัญหากำลังถาโถมเข้ามาหาพวกเขา ทุกอย่างเริ่ม “เสื่อมทรุด” กลายเป็นว่าคนในครอบครัวชินวัตรกำลังสู่ยุค “ขาลง” ลงทุกวัน!!