กมธ.แก้ที่มา ส.ว. รับฟังเสนอ ปชช. ชี้ ส.ว.เลือกตั้งไม่ต่าง ส.ส. แนะให้ ส.ส.เลือก ส.ว. แบ่งอำนาจให้ชัด-กมธ.เสียงข้างมาก คงร่างเดิมแก้ รธน.เสร็จ ส.ว.2 สายอยู่ครบวาระ เห็นต่างเสียงข้างน้อยไม่เลือกตั้งแทนตำแหน่งว่าง ยัน 30 วันเลือกตั้ง ส.ส.-ส.ว. เห็นชอบ 120 วัน ย้ำ ส.ว.สรรหาหมดวาระห้ามรักษาการ เชิญผู้เสนอแปรญัตติแจงอาทิตย์หน้า กกต.ขอขยายเลือกตั้งใหม่ 45 วัน หลังกงสุลต่างแดนร้อง 30 วันไม่พอ
วันนี้ (14 พ.ค.) ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ... ที่เกี่ยวกับการแก้ไขที่มาและวาระการดำรงตำแหน่งของ ส.ว. ที่มีนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) ประธาน กมธ.เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ประธานแจ้งให้ทราบว่านายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ได้ทำหนังสือถึงประธาน กมธ. แจ้งว่านายสุรัฐ บาระมี ราษฎรหมู่ 5 ตำบลน้ำรอบ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ได้นำเสนอข้อความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาและวาระของ ส.ว.มายังรองประธานสภาฯ คนที่ 1 จึงได้ส่งหนังสือดังกล่าวมายัง กมธ.เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา ซึ่งหนังสือฉบับดังกล่าวพอสรุปได้ดังนี้ นายสุรัฐ ไม่เห็นด้วยที่จะให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง เพราะหากเป็นดังนั้น ส.ว.ก็จะมีคุณสมบัติไม่ต่างจาก ส.ส. เพราะ ส.ว.ต้องมีหน้าที่กลั่นกรอง ตรวจสอบ กฎหมาย หรือเป็นสภาพี่เลี้ยง มีความเป็นกลางทางการเมือง ดังนั้นการเลือกตั้ง ส.ว.ควรเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม คือให้ประชาชนเลือกตั้ง ส.ส. ให้ ส.ส.เลือกตั้ง ส.ว.และให้ ส.ว.เลือกตั้งองค์กรอิสระต่างๆ และควรกำหนดคุณสมบัติให้มีความเข้มมากขึ้น นอกจากนี้ การแก้ไขที่มาของ ส.ว.เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด แต่ต้องมีการแบ่งแยกอำนาจของ ส.ส.และ ส.ว.ได้ชัดเจน
ขณะที่พอเข้าสู่วาระการประชุมได้มีการพิจารณาในมาตรา 10 ซึ่ง กมธ.เสียงข้างมากเห็นด้วยให้คงร่างเดิม คือเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขบังคับใช้ ให้ ส.ว.ทั้ง ส.ว.เลือกตั้งและสรรหา ดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบวาระ แต่หากมีเหตุตำแหน่งว่างลงก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ต้องดำเนินการเลือกตั้งซ่อม ซึ่งในส่วนของการเลือกตั้งซ่อม กมธ.เสียงข้างน้อยยังมีความเห็นต่าง และขอสงวนคำแปรญัตติ เพราะเมื่อตำแหน่ง ส.ว.ว่างลง คณะกรรมการรการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้องดำเนินการตามที่กฎหมาย คือต้องเลือกตั้งหรือสรรหา ส.ว.แทนตำแหน่งที่ว่างในเวลาที่กำหนด โดยเกรงว่าจะเกิดปัญหาต่อผู้ปฏิบัติในวันข้างหน้า
ส่วนในมาตรา 11 ให้คณะกรรมการเลือกตั้งเสนอ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต่อรัฐสภาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขนี้บังคับใช้ โดยให้รัฐสภาเห็นชอบภายใน 120 วัน สำหรับมาตรา 12 และ 13 ที่ประชุมเห็นชอบตามร่างเดิมที่รับมาในวาระที่ 1 โดยมีสาระสำคัญคือ ส.ว.สรรหา ชุดปัจจุบัน ที่ยังเหลือวาระประมาณ 3 ปี ให้สิ้นสภาพทันทีที่ครบวาระ โดยไม่ต้องรักษาการระหว่างรอเลือกตั้ง ส.ว.ใหม่ และไม่มีการสรรหามาแทน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กมธ.ชุดนี้ ได้พิจารณาตามรายมาตราเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นจะมีการทบทวนรายละเอียดต่างๆ ที่ได้พิจารณามาทั้งหมด และจะได้ผู้ที่ได้เสนอแปรญัตติ จำนวน 215 คน เข้ามาชี้แจงต่อ กมธ.ในสัปดาห์ถัดไป
ด้านนายสมศักดิ์ สุริยะมงคล รองเลขาธิการ กกต.เปิดเผยว่า กกต.ได้ยื่นข้อเสนอขอให้คณะกรรมาธิการฯ ช่วยแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 118 ซึ่งปัจจุบันกำหนดว่าเมื่อวุฒิสภาครบวาระ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน โดยขอให้แก้ขยายเป็น 45 วัน เนื่องจากได้รับเสียงเรียกร้องจากกงสุลไทยในต่างประเทศว่าระยะเวลา 30 วันไม่เพียงพอสำหรับการจัดการให้มีการลงทะเบียนเพื่อการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร เนื่องจากบางประเทศมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก แต่ทางกรรมาธิการก็ยังไม่มีการแก้ไขในส่วนนี้
วันนี้ (14 พ.ค.) ที่รัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ... ที่เกี่ยวกับการแก้ไขที่มาและวาระการดำรงตำแหน่งของ ส.ว. ที่มีนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย (พท.) ประธาน กมธ.เป็นประธานการประชุม ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม ประธานแจ้งให้ทราบว่านายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานวุฒิสภาคนที่ 1 ได้ทำหนังสือถึงประธาน กมธ. แจ้งว่านายสุรัฐ บาระมี ราษฎรหมู่ 5 ตำบลน้ำรอบ อำเภอลานสัก จังหวัดอุทัยธานี ได้นำเสนอข้อความคิดเห็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มาและวาระของ ส.ว.มายังรองประธานสภาฯ คนที่ 1 จึงได้ส่งหนังสือดังกล่าวมายัง กมธ.เพื่อใช้ประกอบการพิจารณา ซึ่งหนังสือฉบับดังกล่าวพอสรุปได้ดังนี้ นายสุรัฐ ไม่เห็นด้วยที่จะให้ ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง เพราะหากเป็นดังนั้น ส.ว.ก็จะมีคุณสมบัติไม่ต่างจาก ส.ส. เพราะ ส.ว.ต้องมีหน้าที่กลั่นกรอง ตรวจสอบ กฎหมาย หรือเป็นสภาพี่เลี้ยง มีความเป็นกลางทางการเมือง ดังนั้นการเลือกตั้ง ส.ว.ควรเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม คือให้ประชาชนเลือกตั้ง ส.ส. ให้ ส.ส.เลือกตั้ง ส.ว.และให้ ส.ว.เลือกตั้งองค์กรอิสระต่างๆ และควรกำหนดคุณสมบัติให้มีความเข้มมากขึ้น นอกจากนี้ การแก้ไขที่มาของ ส.ว.เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทั้งหมด แต่ต้องมีการแบ่งแยกอำนาจของ ส.ส.และ ส.ว.ได้ชัดเจน
ขณะที่พอเข้าสู่วาระการประชุมได้มีการพิจารณาในมาตรา 10 ซึ่ง กมธ.เสียงข้างมากเห็นด้วยให้คงร่างเดิม คือเมื่อรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขบังคับใช้ ให้ ส.ว.ทั้ง ส.ว.เลือกตั้งและสรรหา ดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบวาระ แต่หากมีเหตุตำแหน่งว่างลงก่อนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญนี้ ไม่ต้องดำเนินการเลือกตั้งซ่อม ซึ่งในส่วนของการเลือกตั้งซ่อม กมธ.เสียงข้างน้อยยังมีความเห็นต่าง และขอสงวนคำแปรญัตติ เพราะเมื่อตำแหน่ง ส.ว.ว่างลง คณะกรรมการรการเลือกตั้ง (กกต.) ก็ต้องดำเนินการตามที่กฎหมาย คือต้องเลือกตั้งหรือสรรหา ส.ว.แทนตำแหน่งที่ว่างในเวลาที่กำหนด โดยเกรงว่าจะเกิดปัญหาต่อผู้ปฏิบัติในวันข้างหน้า
ส่วนในมาตรา 11 ให้คณะกรรมการเลือกตั้งเสนอ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต่อรัฐสภาภายใน 30 วัน นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขนี้บังคับใช้ โดยให้รัฐสภาเห็นชอบภายใน 120 วัน สำหรับมาตรา 12 และ 13 ที่ประชุมเห็นชอบตามร่างเดิมที่รับมาในวาระที่ 1 โดยมีสาระสำคัญคือ ส.ว.สรรหา ชุดปัจจุบัน ที่ยังเหลือวาระประมาณ 3 ปี ให้สิ้นสภาพทันทีที่ครบวาระ โดยไม่ต้องรักษาการระหว่างรอเลือกตั้ง ส.ว.ใหม่ และไม่มีการสรรหามาแทน
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุม กมธ.ชุดนี้ ได้พิจารณาตามรายมาตราเสร็จสิ้นแล้ว จากนั้นจะมีการทบทวนรายละเอียดต่างๆ ที่ได้พิจารณามาทั้งหมด และจะได้ผู้ที่ได้เสนอแปรญัตติ จำนวน 215 คน เข้ามาชี้แจงต่อ กมธ.ในสัปดาห์ถัดไป
ด้านนายสมศักดิ์ สุริยะมงคล รองเลขาธิการ กกต.เปิดเผยว่า กกต.ได้ยื่นข้อเสนอขอให้คณะกรรมาธิการฯ ช่วยแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 118 ซึ่งปัจจุบันกำหนดว่าเมื่อวุฒิสภาครบวาระ ให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน โดยขอให้แก้ขยายเป็น 45 วัน เนื่องจากได้รับเสียงเรียกร้องจากกงสุลไทยในต่างประเทศว่าระยะเวลา 30 วันไม่เพียงพอสำหรับการจัดการให้มีการลงทะเบียนเพื่อการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร เนื่องจากบางประเทศมีพื้นที่กว้างใหญ่มาก แต่ทางกรรมาธิการก็ยังไม่มีการแก้ไขในส่วนนี้