ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนเริ่มมองเห็นสอดคล้องกันว่า ถ้า ทักษิณ ชินวัตร เห็นแก่ตัวลดลง หรือไม่โลภคิดจะฮุบเอาทุกอย่างเอาไว้ในมือ แล้วปล่อยให้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาวตัวเองเป็นนายกฯ “หุ่นเชิด” ไปก่อน เชื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น เมื่อเวลาทอดนานออกไป ทุกอย่างคงจะอยู่ในมือเขาแบบค่อยเป็นคอยไป แต่นี่กลายเป็นว่าเขาเป็นคน “สั่งเร่งเกม” ต้องการให้ปิดเกมโดยเร็วที่สุด นั่นเท่ากับว่ากลายไปกระตุ้นให้ฝ่ายตรงข้าม และชาวบ้านที่นิ่งเฉยได้เห็นถึงธาตุแท้ต้องตัดสินใจร่วมขบวนการต่อต้านเพิ่มมากขึ้น
แม้ว่าที่ผ่านมาเขาก็เคยมีบทเรียนให้เห็นมาแล้วว่า ยิ่งเขาเหิมเกริม คิดจะรวบทุกอย่างเอาไว้ในมือมากเท่าใด อีกด้านหนึ่งก็ยิ่งทำให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านมากขึ้นเท่านั้น เหมือนอย่างในเวลานี้จากเดิมที่สังคมเกิดความเฉยๆ บางส่วนอาจมองว่าธุระไม่ใช่ หรือยังต้องการให้เวลารัฐบาลของพวกเขาได้ทำงานพิสูจน์ฝีมือไปก่อน ตามที่ให้สัญญาหาเสียงเอาไว้
แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างที่คนพวกนี้ทำอยู่ในเวลานี้มองเห็นได้ชัดว่าทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว เพื่อประโยชน์ของคนใน “ครอบครัวชินวัตร” โดยเฉพาะเพื่ออำนาจและผลประโยชน์ส่วนตัว ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้น กลายเป็นการแปลงผลประโยชน์ของชาติมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัว มิหนำซ้ำลักษณะการเคลื่อนไหวยังมีการใช้มวลชนคนเสื้อแดงในสังกัดเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือคุกคามฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย
การเคลื่อนไหวทุกเรื่องทั้งก่อนหน้านี้ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการผลักดันร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พระราชบัญญัติปรองดองฯ การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา หรือเสนอแก้ไขมาตรา 291 เพื่อนำไปสู่การยกร่างใหม่ทั้งฉบับ แต่ทุกเรื่องล้วนแล้วแต่เป็น “วาระส่วนตัว” ล้วนๆ ซึ่งว่าสังคมไม่น้อยเริ่มเข้าใจและรับรู้กันไปแล้ว นาทีนี้คงไม่ต้องสาธยายรายละเอียดให้เห็นกันอีก เพียงแต่ว่าจะรับกับพฤติกรรมถ่อยเถื่อนของ ทักษิณ และเครือข่ายของเขาได้อีกนานแค่ไหน
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาสะสมความไม่พอใจให้ถึงจุด “ระเบิด” ก็คือ ความไม่เอาไหนทั้งคนที่ถูก “เชิด” ให้เป็นนายกฯ ว่ามีผลงานประทับใจแค่ไหน เรื่องสำคัญ เรื่องใหญ่ไปจนถึงเรื่องเล็กลองตั้งสตินั่งคิดดูว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ทำได้ดีให้ชื่นชมบ้าง ถามว่าโครงการรับจำนำข้าว การขึ้นค่าแรงวันละ 300 บาท เป็นต้น แม้ว่าในเบื้องต้นอาจดูเหมือนว่าได้รับความชื่นชม จากกลุ่มรากหญ้าหาเช้ากินค่ำ แต่เอาเข้าจริงผลที่ออกมาจากการสำรวจที่ออกมามันไม่ได้ส่งผลดีจริง คนที่ใช้แรงงานยังชักหน้าไม่ถึงหลังอยู่เหมือนเดิม เพราะราคาข้าวของมันแพงขึ้น ส่วนโครงการจำนำข้าวก็มีแต่เรื่องทุจริตเอื้อประโยชน์ให้กับพวกพ่อค้าและนักการเมืองตามฟอร์มสรุปเป็นว่าผ่านโครงการจำนำมาสองปีทำให้รัฐขาดทุนนับแสนล้านบาทแล้ว และกำลังส่งผลให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่รับหน้าเสื่อเริ่มอยู่ในภาวะ “ถังแตก” เริ่มขาดสภาพคล่อง เพียงแต่ยังมีความพยายามปิดบังเอาไว้ และล่าสุดกำลังจะมีการจำกัดการรับจำนำข้าวแล้วโดยอ้างว่าที่ผ่านมาทำให้ชาวนาร่ำรวยปลดเปลื้องหนี้สินไปเกือบหมดแล้ว ซึ่งไม่รู้ว่าคนที่พูดแบบนี้คิดว่าชาวบ้านเขาโง่หรือว่าตัวเองโง่กันแน่
สิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลที่ค่อนข้างชัดเจน นอกจากเรื่องโครงการประชานิยมที่กำลังจะก่อปัญหาในอีกไม่นานข้างหน้าแล้ว ยังมีเรื่องปัญหายาเสพติดที่กำลังระบาดอย่างหนัก
ทั้งที่มีการแถลงข่าวประชาสัมพันธ์จับยาบ้าไม่ต่ำกว่าล้านเม็ดแทบจะรายวัน มีผู้นำในการดูแลหน่วยงานสำคัญด้านการปราบปรามล้วนเป็นคนของตัวเองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) แต่ยังไม่เห็นถึงความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมทุกอย่างล้วนฉาบฉวยสร้างภาพทั้งสิ้น
เรื่องสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่างชัดเจน อีกทั้งจะส่งผลต่อดินแดนนั่นคือปัญหาความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะนับตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การอุปถัมภ์ของ ทักษิณ ชินวัตร ทุกอย่างเลวร้ายลงเข้าขั้นวิกฤติ เพราะแม้แต่จะมีความพยายามในการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลุ่มบีอาร์เอ็น แต่นั่นไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ตรงข้ามกลับเลวร้ายลงทำให้เกิดคำถามว่านี่คือการสร้างภาพทาง “การตลาด” เป็นการเลือกโปรโมตบางกลุ่มขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการเมืองเท่านั้นเอง ขณะเดียวกัน ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังเหมือนกับการจะมีการส่งเสริมการแบ่งแยกดินแดนเพื่อจัดตั้งเป็น“เขตปกครองพิเศษ”ขึ้นมา เพื่อให้ง่ายต่อการเจรจาแบ่งผลประโยชน์ในอนาคต สังเกตได้จากเริ่มดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เช่น จากเดิมที่ให้มาเลเซียเป็น “ผู้อำนวยความสะดวก” แต่ล่าสุดยกฐานะเป็น “คนกลาง” และกำลงจะยกระดับปัญหาสู่ระดับสากลแทนที่จะเป็นเรื่องภายใน ที่เรายืนยันมาตลอด ทุกอย่างก็จะยุ่งยากมากขึ้นจนอาจจะเหนือการควบคุมก็เป็นได้ นี่ก็คือผลงานของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ปรากฏออกมาชัดเจนว่าเขาอยู่เบื้องหลังมาตลอด ตั้งแต่ที่เป็นต้นเหตุทำให้ชายแดนใต้รุนแรงลุกลามมาจนถึงปัจจุบัน มาจนกระทั่ง “แส่”เข้ามาสั่งการให้ลิ่วล้อของตัวเองเจรจากับกับกลุ่มบีอาร์เอ็นที่ผลออกมาอย่างที่เห็น
ความล้มเหลวในเรื่องราคาสินค้าเกษตรหลักๆ ไม่ว่าจะเป็นราคายางพาราที่ตกต่ำ ปาล์มน้ำมัน ราคามันสำปะหลัง หอม กระเทียม ของพวกนี้ตกต่ำติดดินหมด
นั่นคือความล้มเหลว ห่วย โกง และยังไม่นับเอากรณีการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทที่อ้างว่าจะนำมาลงทุนก่อสร้างโครงการพื้นฐานขนาดใหญ่แบบต่อเนื่องไปอีก 7 ปี โม้สวยหรูว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่ แต่ทุกโครงการยังไม่มีรายละเอียด ไม่มีการศึกษผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และความคุ้มค่า ซึ่งมีหลายคนที่รู้ทันมองว่าเป็นเพียงกู้เงินเพื่อนำมา “หมุนและโป๊ะ”สำหรับโครงการประชานิยมที่ขาดทุนและกำลงขาดสภาพคล่องอย่างหนักในบางโครงการ เช่น จำนำข้าว เป็นต้น หรือแม้แต่การนำมาโปะรายได้ของรัฐ เนื่องจากการหารายได้ยังไม่เข้าเป้าเป็นผลกระทบจากโครงการประชานิยมสารพัด
ความล้มเหลวและความห่วยดังกล่าวนี่แหละที่จะเป็นตัวเร่งอารมณ์โมโหให้กับชาวบ้านจนถึงจุดระเบิด เพราะที่ผ่านมาเกือบ 2 ปีหงุดหงิดกับความไม่เอาไหนกับคนของ “ครอบครัวชินวัตร” มามากพอแล้ว นี่ยังไม่สำนึก ไม่เห็นหัวชาวบ้าน ยังเอาแต่ได้ ยังจะรวย เอาเปรียบและอยากผูกขาดอำนาจไม่เลิก อาการแบบนี้แหละที่่่จะทำให้ เกิดอารมณ์ร่วมขับไล่คนพวกนี้ไปให้พ้น ล่าสุดถึงขนาดมีการสั่งให้รัฐมนตรีไอซีทีิปิดเว็บไซต์ปิดปากฝ่ายที่เห็นตรงกันข้าม รวมไปถึงไฟเขียวให้มวลชนในสังกัดไปข่มขู่คุกคามมันก็ยิ่งเหลืออด และนี่แหละถึงได้บอกว่าหากยังเป็นแบบนี้ก็เตรียมนับถอยหลังกันได้เลย!!