ผ่าประเด็นร้อน
หากข้อสมมุติฐานที่ว่าชายแดนด้านตะวันออกในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรของไทยที่รัฐบาลภายใต้การอุปถัมภ์ของ ทักษิณ ชินวัตรแอบยกให้เขมรฮุนเซนขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ศาลโลกเป็นเครื่องมือในการปิดปากคนไทยเป็นเรื่องจริง ก็ต้องมองเชื่อมโยงไปถึงชายแดนภาคใต้ที่กำลังมีการ “ปาหี่” เจรจาสันติภาพในเวลานี้เพราะทุกอย่างกำลังมีการจัดฉากและออกแบบกันมาล่วงหน้าแล้ว
อย่างไรก็ดี ลักษณะเฉพาะของชายแดนใต้ไม่เหมือนกับที่อื่น มันมีความซับซ้อนกว่า และที่สำคัญด้วยความเชื่อ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์อันละเอียดอ่อนทำให้การจัดการมันสุดหิน เมื่อไม่ง่ายหรือล้มเหลวจัดการไม่ได้ก็ต้องปล่อยไป หากเปรียบกับการบริหารบริษัทก็ต้อง “ตัดการขาดทุน” ออกไป เหมือนไม่อยากแบกเอาไว้
พิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบันมองได้อย่างนั้นจริงๆ เพราะไม่ว่ามองในมุมไหนก็ไม่เอื้อต่อการเจรจาสันติภาพจริงๆ ยิ่งในความเป็นจนถึงวันนี้เรายังไม่รู้ว่ากำลัง “สู้กับใคร” ยังไม่มีการประกาศองค์กรต่อสู้ ยังไม่ประกาศเป้าหมาย ที่สำคัญรัฐยังไม่อาจควบคุมสถานการณ์ ยังไม่มีทิศทางยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาอย่างชัดเจน
ขณะที่ชื่อของกลุ่ม “บีอาร์เอ็น” ที่โผล่ออกมาร่วมเจรจาอยู่ในขณะนี้ถือว่าเป็นเรื่องน่า “แปลกใจ” แปลกใจตรงที่ว่า “มาได้อย่างไร” เพราะในวงการในพื้นที่ย่อมรู้กันดีว่ากลุ่มดังกล่าวมัน “ตกรุ่น” ไปแล้ว แต่น่าแปลกใจปกว่านั้นคือกลุ่มนี้สามารถต่อสายติดกับ ทักษิณ ชินวัตร มานานและต่อเนื่อง หากจำกันได้เมื่อสองสามปีก่อนเคยลงนามสันติภาพโชว์มาแล้วภายใต้การอุปถัมภ์ของ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร จนเป็นที่ตลกขบขันมาแล้ว แล้วก็เงียบหายไป จู่ๆ ก็กลับมาอีกครั้งมีการโหมโรงกันอย่างเต็มที่ลักษณะเหมือนกับการสร้างภาพทางการตลาดกันอย่างคึกคัก คราวนี่มีการใช้กลไกรัฐทั้งตัวบุคคลในสังกัดมาใช้อย่างเต็มพิกัด ตั้งแต่รัฐบาล ตัวนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่หนุนหลังอย่างเต็มที่ถึงบินไปเป็นสักขีพยานถึงมาเลเซีย ส่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ซึ่งแน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่ต่างจากคนใกล้ชิดสั่งได้ทุกเรื่อง ภายใต้ข้อมูลจริงที่เปิดเผยออกมาว่าอยู่ภายใต้การประสานงานของทักษิณทุกขั้นตอน
เมื่อทักษิณเข้ามาเกี่ยวข้องรับรองว่ามันต้องทะแม่งแน่นอน สอดคล้องกับสถานการณ์จริงในพื้นที่ที่เวลานี้ลกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกำลังขยายพื้นที่ในการก่อเหตุได้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในเขตเมือง รวมถึงการก่อเหตุเป้าหมายกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และจากข้อมูลที่ตรงกันก็คือกลุ่มที่ลงมือก่อเหตุไม่ใช่กลุ่มบีอาร์เอ็น อีกทั้งยังเป็นการลงมือก่อเหตุทั้งก่อนและระหว่างที่มีการเจรจาระหว่างกันเสียด้วย เป็นการตอกย้ำให้เห็นว่าศักยภาพในการควบคุมกองกำลังติดอาวุธในพื้นที่เป็นอย่างไร
ความหมายก็คือ การเจรจาที่เห็นเป็นการ “สร้างภาพเกินจริง” เพื่อหวังผลทางการเมืองเฉพาะหน้าเท่านั้น ไม่ได้เกิดผลใดๆ โดยเฉพาะการสร้างความสงบในพื้นที่ เพราะคนที่เป็นผู้อุปถัมภ์ในการเจรจา คือ ทักษิณ ชินวัตร จะว่าไปแล้วก็เป็นคนที่ทำลายชายแดนใต้จนย่อยยับมาแล้ว เป็นคนที่จุดไฟเผาจนแหลกเป็นจุล แต่มาวันนี้ก็จะมาเป็นคนดับไฟ แต่วิธีการที่นำมาใช้มันก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิม ทุกอย่างยังฉาบฉวยมักง่ายเหมือนเดิม
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาอย่างรอบด้านทำให้เข้าใจว่า นี่คือการตัดแยกแผ่นดินออกไป เพราะจะว่าไปแล้วถือว่า ทักษิณ และเครือข่ายมีความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง อีกทั้งที่ผ่านมาถือว่าพื้นที่ภาคใต้ก็ไม่ใช่พื้นที่ฐานสียง ไม่สามารถสร้างประโยชน์ทางการเมืองได้เต็มร้อยเหมือนในพื้นที่อื่น ทุกอย่างถือว่าขาดทุน หากเป็นบริษัทเมื่อบริหารไปแล้วไม่มีอนาคตแบบนี้ก็คงต้อง “ตัดการขาดทุน” ออกไป ขณะเดียวกันในเมื่อตัวเองไม่อาจคุมสถานการณ์ได้ก็ต้อง “ขาย” ให้คนอื่นเข้ามาบริหารแทน โดยมองไปที่กลุ่มที่คุยกันรู้เรื่อง ซึ่งในที่นี้ก็ต้องเป็นบีอาร์เอ็นนี่แหละ
แม้จะไม่ใช่ของจริงก็สามารถนำมาโปรโมทในภายหลังก็ได้ เหมือนอย่างที่กำลังเป็นอยู่ เป็นการยกเครดิตจนเกินความเป็นจริง เมื่อตัดการขาดทุนออกไปแล้ว ส่งมอบให้กลุ่มนี้บริหารพื้นที่แล้ว ทุกอย่างจะสามารถพูดคุยกันได้ง่ายขึ้น ซึ่งก็ต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทีมีมากมายมหาศาล โดยเฉพาะด้านพลังงานในทะเล
สังเกตหรือไม่ ก่อนการเจรจากับตัวแทนฝ่ายรัฐเพียงไม่กี่ชั่วโมงกลุ่มบีอาร์เอ็นก็มีการออกแถลงการณ์ผ่านทางสื่อโชเชียลมีเดีย แสดงท่าทีแข็งกร้าวเนื้อหาสาระก็คือ ต้องการแบ่งแยกดินแดน และให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาเป็นตัวกลาง นั่นคือมีการยกระดับปัญหาออกไปสู่สากลแล้ว ไม่ใช่ปัญหาภายในเหมือนที่ฝ่ายรัฐบาลไทยเคยย้ำมาก่อนหน้านี้
นี่อาจเป็นการสมคบวางแผนกันมาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน หากปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เหมือนกับว่านี่คือการตัดการขาดทุน กับพื้นที่ที่บริหารไม่ได้ ไม่มีประโยชน์ทางการเมือง สู้ยกให้คนอื่นไปบริหาร แต่สามารถพูดคุยกันได้ในภายหลัง ดังนั้นพิจารณาจากปรากฏการณ์ที่เป็นอยู่หาก รัฐบาลพรรคเพื่อไทย และทักษิณ ชินวัตร ยังบงการอยู่แบบนี้คงมองไม่ดห็นอนาคตของชายแดนใต้ได้เลย!!