รอง หน.ปชป.แจงระบบไพรมารี พร้อมขอบคุณอดีต หน.พรรคแม้ไม่หนุน ชี้ยกเป็นต้นคิดไม่ใช้ต้นแบบ เพราะออกแบบระบบเองตามแนวปฏิรูป โดยพรรคเน้นสร้างระบบบริหารวัฒนธรรมองค์กร ย้ำปฏิรูปทุกด้าน ฟังข้อเสนอก่อนชงพิมพ์เขียวปฏิรูปพรรค เผยนำร่องภาคกลางผู้ใหญ่ในพรรคหนุน เล็งขยายทั่วไทย ย้ำปฏิรูปพรรคต้องพร้อมกันหยุดไม่ได้ ชี้สำเร็จชาติได้ประโยชน์ ไม่ว่าเป็น รบ.หรือฝ่ายค้าน นำสู่สถาบันการเมือง แข่งแบบสร้างสรรค์
วันนี้ (6 พ.ค.) นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัว (@alongkornpb) โดยชี้แจงกรณีที่นายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้สัมภาษณ์ ระบุไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอการสรรหาผู้สมัคร ส.ส.ด้วยระบบไพรมารี หรือคอคัส ที่ตนเสนอว่า แม้จะศึกษาระบบไพรมารีของสหรัฐฯมาเป็นต้นคิดแต่ไม่ใช่ต้นแบบ เพราะเราได้ออกแบบระบบของเราเองตามแนวทางปฏิรูป “เปิดพรรคกว้าง สร้าง ส.ส.ของประชาชน” และการจัดกิจกรรมเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคมที่ จ.พระนครศรีอยุธยานั้น ก็เป็นการเพิ่มบทบาทของสาขาพรรค ส่วนกรอบการปฏิรูปประชาธิปัตย์นั้น จะเน้นอย่างน้อย 3 ปฏิรูป คือ 1. โครงสร้างและระบบ 2. การบริหารจัดการ และ 3. วัฒนธรรมองค์กรและบุคคลากร ซึ่งการปฏิรูปจะไม่ใช่มีแค่ระบบไพรมารี่เท่านั้น แต่จะครอบคลุมทุกด้านรวมทั้งข้อเสนอของนายพิชัย และคนอื่นๆ โดยจะสรุปเป็นพิมพ์เขียวปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจะนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรควันที่ 13 พฤษภาคมนี้
นายอลงกรณ์กล่าวต่อว่า ต้องขอขอบคุณความเห็นของนายพิชัย และกว่า 1 ปีที่ภาคกลางของพรรคประชาธิปัตย์ ได้นำร่องการปฏิรูป เช่นการพัฒนาศักยภาพสาขาและสมาชิกพรรค โดยจัดโครงการฝึกอบรมทุกเดือนๆ ละ 2 ครั้ง มีการจัดตั้งโครงสร้างบริหารใหม่ตามยุทธศาสตร์ 4 ปี ซึ่งได้จัดตั้งคณะกรรมการกลุ่มจังหวัด 7 กลุ่ม และกระจายอำนาจการบริหารออกไป นอกจากนั้นยังได้จัดตั้งสถาบันพัฒนาการเมืองการบริหารเพื่อพัฒนาบุคคลากรทางการเมืองของพรรค ซึ่งขณะนี้ฝึกอบรมไปแล้ว 1,100 คน รวมถึงได้จัดตั้งโครงสร้างและระบบพื้นฐานในการดูแลประชาชน และการพัฒนาท้องถิ่นด้วยการขยายสาขาพรรคและเพิ่มศูนย์ประชาธิปัตย์ตำบล เกือบ 200 แห่งใน 26 จังหวัด และจัดงาน “ประชาธิปัตย์พบประชาชนภาคกลางสัญจร-ออกแบบประเทศไทยออกแบบจังหวัด” ตามนโยบายของหัวหน้าพรรคทุกเดือน ซึ่งจัดมาแล้ว 10 จังหวัด ทั้งนี้ ภาคกลางได้บริหารงานเชิงกลยุทธ์โดยมีเป้าหมาย และเน้นผลลัพธ์เป็นตัวชี้วัด โดยใช้ 5 กลยุทธ์ขับเคลื่อน คือ “ติดอาวุธความคิด-ใกล้ชิดมวลชน-เปิดพรรคกว้าง-สร้างเครือข่าย-ขยายฐานพรรค” ซึ่งการนำร่องปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ภาคกลางนี้ ได้รับการสนับสนุนจากหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งถึงเวลาแล้วที่จะขยายผลไปทุกภาคทั่วประเทศ
“การนำร่องปฏิรูปประชาธิปัตย์ภาคกลาง ไม่ใช่ว่าจะสำเร็จหรือไร้ปัญหาทุกโครงการแต่เมื่อเกิดปัญหาหรือจุดอ่อนก็ปรับปรุงแก้ไขด้วยวิธีบริหารจัดการระบบใหม่ ซึ่งการปฏิรูปพรรคต้องปฏิรูปแบบองค์รวมคือปรับปรุงพัฒนาทุกๆ ด้านพร้อมๆ กันและต้องทำอย่างต่อเนื่องหยุดพักไม่ได้ เราไม่ใช่รถที่จะจอดแล้วจึงซ่อม และถ้าพรรคประชาธิปัตย์ ปฏิรูปแบบองค์รวมสำเร็จก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ เพราะจะมีพรรคการเมืองที่พร้อมเป็นรัฐบาล และฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพยึดมั่นประชาธิปไตย การปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ จะส่งผลให้ระบบ 2 พรรคใหญ่คือประชาธิปัตย์และเพื่อไทย พัฒนาไปสู่ความเป็นสถาบันทางการเมืองและแข่งขันเชิงคุณภาพอย่างสร้างสรรค์ ทำให้ประเทศเข้มแข็งขึ้น” นายอลงกรณ์กล่าวทิ้งทาย