รองโฆษก ปชป.เรียกร้องนายกฯ หยุดให้ท้าย สกัดแก๊งแดงระดมสมุนไล่ตุลาการศาล รธน. 8 พ.ค. หวั่นปัญหาบานปลาย ติง “สุกำพล” โยนผิดสื่อ แนะปรับยุทธศาสตร์แก้ปัญหาภาคใต้ใหม่ อย่ามัวเดินตามก้น “นช.แม้ว” ย้ำสปีช “ปู” ที่มองโกเลียบิดเบือนประชาธิปไตย สร้างความเสียหายประเทศ ใส่ร้ายคนอื่นโดยไม่มองตัวเอง แนะ “ยิ่งลักษณ์” เสิร์ชกูเกิลคำว่า “อีโง่” ดูก่อนฟ้อง “ชัย ราชวัตร”
น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ทราบมาว่าวันที่ 8 พ.ค.จะมีการระดมคนเสื้อแดงจากต่างจังหวัดเพื่อมาขับไล่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อยากให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตั้งหลักจากน้องสาวแสนเชื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นนายกฯ ดูแลเรื่องนี้ไม่ให้มีการละเมิดทางกฎหมาย และน.ส.ยิ่งลักษณ์ต้องแสดงวิสัยทัศน์ให้ชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะในวันที่ 8 พ.ค.แกนนำคนเสื้อแดงทั้งหมดก็อยู่เบื้องหลังการระดมคนเพื่อเตรียมยกระดับความรุนแรง แต่การที่มีคนหน้าเดิมมาไล่ตุลาการอาจจะเป็นปัญหาที่ลุกลามให้ฝ่ายอื่นทนไม่ไหวและทำให้ปัญหาบานปลายได้
น.ส.มัลลิกายังกล่าวถึงการแก้ปัญหาภาคใต้ของรัฐบาลว่า กรณีที่ พล.อ.อ.สุกําพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาอาละวาดกับสื่อนั้น ฝ่ายความมั่นคงกำลังวางยุทธศาสตร์ผิดพลาด และทำให้พื้นที่เป็นสงคราม เพราะได้ยกระดับผู้ก่อการร้ายมาเป็นผู้เจรจา และการที่ พล.อ.อ.สุกำพลให้สื่อมวลชนหยุดนำเสนอข่าว ทั้งที่จริง พล.อ.อ.สุกำพลต้องไปทบทวนยุทธศาสตร์ ไม่ใช่โยนความผิดให้สื่อมวลชน
นอกจากนี้ การตั้งบุคลากรดูแลเรื่องนี้ อย่าง พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ก็เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะการออกมาพูดแต่ละครั้ง ทำให้คนร้ายรู้แผน และสถานการณ์บานปลายไปด้วย
“ขอให้นายกฯ และ พล.อ.อ.สุกำพล หยุดฟังคำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเหตุการกรือเซะ ตากใบ ก็มาจากยุทธศาสตร์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถ้าไม่หยุดฟัง พ.ต.ท.ทักษิณ ยุทธศาสตร์จะผิดพลาด คนจะตายเรื่อยๆ ซึ่งฝ่ายความมั่นคงต้องยอมรับกติกาการทำงานของสื่อมวลชนด้วย”
น.ส.มัลลิกาแถลงว่า ช่วงนี้พรรคกำลังดำเนินการตรวจสอบคำกล่าวหรือสปีชชุดใหม่ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ภายหลังเดินทางไปประชุมที่ประเทศมองโกเลีย ซึ่งพรรคยังมองเป็นเรื่องใหญ่ของประเทศ ซึ่งการฟ้องร้อง หรือที่มี ส.ส.หญิงออกมาปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นเรื่องผิดเพี้ยนจากข้อเท็จจริง จึงอยากให้ทุกฝ่ายไปชำแหละคำกล่าวนี้ก่อน เพราะคำกล่าวของนายกฯ เป็นการดูหมิ่นประเทศไทย และทำให้ทำลายโอกาสการลงทุนในประเทศ เนื่องจากสิ่งที่พูดเป็นเรื่องล้าหลังมาก
น.ส.มัลลิกา กล่าวว่า อยากบอก ส.ส.หญิงของพรรคเพื่อไทยที่จะเสนอจดหมายเปิดผนึกว่าเป็นเรื่องที่ดี แต่คำกล่าวนี้มีการบิดเบือนประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ตั้งแต่การตัดตอนเรื่องรัฐประหาร บิดเบือนเรื่องรัฐธรรมนูญ หรือการอ้างเรื่องการทำลายรัฐธรรมนูญปี 2540 ขณะเดียวกัน น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับไม่ได้พูดว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทำลายรัฐธรรมนูญปี 2540 รวมถึงตัดตอนเหตุการณ์ปี 2553 ซึ่งไม่ใช่เรื่องประชาธิปไตย แต่เป็นเรื่องการก่อการร้าย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังอ้างปรากฎการณ์รัฐประหาร แต่ไม่ยอมพูดถึงที่มาของรัฐประหารว่าเกิดจากการทุจริตมีการเอาบรรยากาศการฟ้อง หรือสิทธิสตรีมาแก้เกี้ยว นายกฯ ต้องออกมา แก้ไขในข้อเท็จจริง ไม่เช่นนั้นประเทศชาติจะเสียโอกาสได้
ด้านนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม.กล่าวว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ส่งทนายไปฟ้องนายสมชัย กตัญญุตานันท์ หรือนายชัย ราชวัตร การ์ตูนนิสต์ของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐนั้น หากจะใช้มาตรฐานเรื่องนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ต้องมีการตรวจสอบในกูเกิลด้วย เพราะถ้าไปค้นหาคำว่า “อีโง่” ในกูเกิล ก็จะเจอภาพนายกฯ ของประเทศไทย ที่สร้างความเสื่อมเสียให้ประเทศ ตนจึงขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือตั้งทีมทนายตรวจสอบเพื่อให้ปัญหานี้จบไปจากภาพลักษณ์การเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย
นายณัฏฐ์ยังแถลงถึงกรณีนายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ไม่มีเวลาทำตามนโยบายหาเสียง ภายหลังต้องเข้าพบกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นว่าเล่น และคนกรุงเทพฯ โดนต้มเรื่องราคาค่ารถไฟฟ้าว่า เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างมาก เพราะเรื่องนี้คดียังไม่สิ้นสุด นายภักดีหาญส์ไม่มีหน้าที่มาบอกว่าผู้ถูกกล่าวหาผิดหรือไม่ผิด ซึ่งผู้ว่าฯ กทม.ต้องไปแก้ต่าง แต่นายภักดีหาญส์กลับมาตัดสินว่าผิดไปแล้ว เรื่องนี้เป็นการต่อสัญญาการเดินรถ
“เรื่องนี้เป็นการต่อสัญญาการเดินรถ ไม่ใช่การขยายสัมปทาน เพราะการขึ้นค่าโดยสารของบีทีเอส กทม.ก็ไม่มีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้อง แต่ส่วนรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย กทม.ก็มีหน้าที่เก็บรายได้และมีสิทธิบริหารค่าโดยสารเอง ดังนั้นบุคลากรของรัฐบาลไม่ใช้เวลาทำงาน แต่พยายามมาคุยคุ้ยบิดเบือนข้อเท็จจริงเท่านั้น”