xs
xsm
sm
md
lg

“มาร์ค” จับตา 312 ส.ส.-ส.ว.ต้านศาล รธน.ส่อขัด รธน.บี้ “ปู” ปรับลดขัดแย้ง ห้ามแดงเผา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หน.ปชป.นั่ง ปธ.เปิดงานโครงการผู้นำฝ่ายค้านพบเยาวชน รับเป็นจำเลยสังคม ย้ำการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เยาวชนส่วนสำคัญพัฒนาชาติ ฝ่ายค้านพร้อมทำพิมพ์เขียวแก้ปัญหา ชี้ 312 ส.ส.-ส.ว.แถลงไม่รับอำนาจศาล รธน.เพิ่มความขัดแย้งองค์กร ยันศาลถูกสอบเช่นกัน ซัดไร้กติกา ย้ำ รธน.ต้องฟังศาล บี้ นายกฯปรับท่าทีลดขัดแย้ง ดักทำลายศาลเพราะขวางกู้ ล้างผิด แก้ รธน.เชื่อไม่ถึงสุญญากาศ จี้รัฐอย่าปล่อยสาวกเผาช่วงชุมนุมใหญ่ ย้ำรักษา กม.ดักเกิดเหตุร่วมรับผิดชอบ งง อ้าง ปชต.แต่พฤติกรรมไม่ใช่

วันนี้ (3 พ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานเปิดโครงการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พบประชาชน (เยาวชน) “ก้าวไปด้วยกัน....สู่อนาคตเยาวชนไทย ค.ศ.2020” โดยนายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวต่อเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจากหลายสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ ว่าหากใครที่ติดตามสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้ จะรู้สึกหงุดหงิดกับบ้านเมืองที่ยังมีปัญหาความรุนแรง แย่งชิงอำนาจ จนนำมาสู่ความขัดแย้ง ซึ่งตนในฐานะที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรีก็ตกเป็นจำเลยทางสังคมไม่แพ้คนอื่นเช่นกัน แต่เรื่องการเมืองเป็นเรื่องของทุกคนที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะกระบวนการการเมืองเป็นเรื่องของสังคมที่มีความหลากหลาย ต้องมีการบริหารจัดการให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนรวม เพราะทุกคนต้องอยู่ในกติกาของบ้านเมือง จึงจะสามารถเดินหน้าไปได้ ซึ่งเยาวชนถือเป็นส่วนสำคัญที่จะพัฒนาประเทศ ขณะที่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ได้จัดทำพิมพ์เขียวประเทศไทย ซึ่งจะเป็นคำตอบสำหรับการแก้ปัญหา ผ่านการระดมความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ และจะเห็นผลในอีก 7 ปีข้างหน้า โดยแบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือเรื่องการศึกษา เศรษฐกิจ และการเสริมสร้างธรรมาภิบาล เพื่อป้องกันการทุจริต คอร์รัปชัน ที่เป็นปัญหาใหญ่ของชาติ และหวังเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการจะนำปัญหาไปสะท้อนเพื่อนำมาพัฒนาและแก้ไขต่อไป

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีที่ 312 ส.ส.-ส.ว.ออกแถลงการณ์ไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะทำให้เกิดการเผชิญหน้ามากขึ้น ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าในทางปฏิบัติจะนำไปสู่อะไรแต่ไม่ใช่เรื่องดี เพราะสังคมที่มีการยกระดับความขัดแย้งระหว่างองค์กรเช่นนี้สุดท้ายจะมีแต่ความขัดแย้ง ตนอยากให้ทุกคนเคารพบทบาทหน้าที่ของแต่ละฝ่าย และหากศาลมีการกระทำที่ไม่ชอบ จงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ก็อยู่ในข่ายที่จะถูกตรวจสอบตามกระบวนการการถอดถอนอยู่แล้ว แต่การประกาศว่าไม่รับอำนาจซึ่งกันและกันจะทำให้ต่อไปข้างหน้าไม่รู้ว่าเรื่องต่างๆ จะไปจบตรงไหน จะเป็นปัญหาและความขัดแย้งตามมา เพราะหากศาลไม่สามารถเป็นองค์กรสุดท้ายในการยุติปัญหาได้ และทุกคนทำแบบนี้หมดก็เท่ากับบ้านเมืองไม่มีกติกา เพราะคนรักษากติกาไม่สามารถทำงานได้ แต่กลายเป็นว่าผู้เล่นกลายเป็นผู้กำหนดได้ว่าจะยอมรับกติกาหรือไม่ ทั้งนี้ในรัฐธรรมนูญมาตรา 216 ก็บัญญัติไว้ชัดเจนว่า คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาดผูกพันรัฐสภา จึงต้องดูในทางปฏิบัติของ 312 ส.ส.-ส.ว.หลังการออกแถลงการณ์ด้วยว่าจะมีพฤติกรรมอะไรที่ขัดต่อกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญหรือไม่

ผู้นำฝ่ายค้าน ยังตั้งคำถามถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าต้องการยกระดับความขัดแย้งในบ้านเมืองใช่หรือไม่ เพราะคำกล่าวที่มองโกเลียก็ซ้ำเติมประเด็นนี้เท่ากับว่ารัฐบาลคือผู้นำบ้านเมืองเข้าสู่ความขัดแย้ง ซึ่งเท่าที่ตนได้คุยกับหลายฝ่าย ก็มีความห่วงใยว่าความขัดแย้งในครั้งนี้ อาจจะรุนแรงมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ตนจึงเรียกร้องว่านายกรัฐมนตรีต้องปรับท่าทีว่ามีเป้าหมายที่จะนำบ้านเมืองไปสู่ความสงบมากกว่าความขัดแย้ง ซึ่งหวังผลเพื่อคนในครอบครัวตัวเอง เพราะในขณะที่รัฐบาลพยายามพูดเรื่องปรองดอง แต่การกระทำกลับชัดเจนว่าไม่มีความปรองดอง มีแต่การยกระดับความขัดแย้ง เพิ่มปมความขัดแย้ง และคู่ขัดแย้งทางสังคม โดยเห็นว่าสาเหตุที่ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญตกเป็นเป้าหมายในการทำลาย เนื่องจากรัฐบาลกำลังดำเนินการหลายอย่างที่ขัดรัฐธรรมนูญ ทั้งการกู้เงิน 2 ล้านล้าน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญ รวมถึงการนิรโทษกรรม จึงพยายามสกัดกั้นไม่ให้องค์กรที่มีหน้าที่ดูแลให้ทุกคนต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญได้ทำหน้าที่ของตัวเอง โดยรัฐบาลเดินหลายทาง ทั้งใช้ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายวิชาการ มีมวลชนกดดัน เป็นการส่งสัญญาณชัดว่าจะเดินหน้าโดยไม่สนใจอะไร ซึ่งจะเป็นจุดที่ทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะความขัดแย้งที่อันตราย แต่เชื่อว่าคงไม่เกิดสุญญากาศทางการเมือง อย่างไรก็ตามไม่อาจคาดเดาได้ว่าความขัดแย้งจะไปจบที่ตรงไหน แต่เรื่องนี้ป้องกันได้ถ้ารัฐบาลมีความรับผิดชอบในฐานะฝ่ายบริหาร ไม่ให้เกิดปรากฏการณ์ความขัดแย้งขึ้น

ส่วนการยกระดับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ประกาศว่า 8 พ.ค.มาเป็นแสนขับไล่ตุลาการแก้รัฐธรรมนูญมาตรา 309 นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มีการขู่เผาด้วย ซึ่งหน้าที่ของรัฐบาลจะต้องไม่ยอมให้เกิดเรื่องเหล่านี้ เพราะหากผู้สนับสนุนของรัฐบาลมีพฤติกรรมผิดกฎหมาย รัฐบาลก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เลือกปฏิบัติ และจะเป็นสองมาตรฐานอย่างแท้จริง เพราะรัฐบาลต้องรักษากฎหมายของบ้านเมือง ใครทำผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนก็ต้องดำเนินการอย่างเท่าเทียมกัน แต่ในทางการเมืองตัวพรรคและผู้นำพรรคก็มีหน้าที่ช่วยปรามไม่ให้ผู้สนับสนุนไปทำผิดกฎหมาย แต่ถ้าปล่อยให้มีการทำผิดกฎหมาย รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของกลุ่มผู้สนับสนุนตัวเองด้วย จะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะเวลาใช้ประโยชน์ทางการเมือง ก็บอกว่าคนเสื้อแดงเป็นเนื้อเดียวกัน สำหรับการคุกคามสื่อมวลชนนั้น ตนก็แปลกใจ เพราะนายกฯและพรรคเพื่อไทยพูดถึงประชาธิปไตยตลอดแต่ผู้สนับสนุนและตัวเองกลับคุกคามการใช้เสรีภาพของคนอื่น แสดงให้เห็นว่าไม่เป็นประชาธิปไตย











กำลังโหลดความคิดเห็น