xs
xsm
sm
md
lg

“เหลิม-เพื่อไทย”เอาแน่ นิรโทษฯฟอกผิด “แม้ว”

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวการเมือง

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง
ทักษิณ ชินวัตร และส.ส.เพื่อไทย มีท่าทีจะเอาด้วยกับการเร่งเดินหน้าออกพระราชบัญญัติปรองดองฯ ฉบับเฉลิม บางบอน

ทักษิณ บอกผ่านการสไกป์กับพวกส.ส.เพื่อไทย เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่าไม่เห็นด้วยกับการจะเร่งดันร่างกฎหมายปรองดองฯ ของเฉลิม อยู่บำรุงเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ 29 พ.ค.นี้ ที่จะมีวาระสำคัญสองเรื่องจ่อคิวอยู่คือร่างพ.ร.บ.งบฯ 2557 กับร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท แต่ทักษิณบอกควรเอาเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯในรูปแบบปกติคือหลังเปิดสภาฯ 1 สิงหาคม และไม่ควรใช้วิธีเอาเข้าสภาฯแบบพรวดพราด เสนอ 3 วาระรวดในวันเดียว แม้จะเป็นร่างกฎหมายที่มีแค่ 6 มาตรา

หมายความตามนี้ ก็คือ ทักษิณ เอาด้วยกับร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมนั่นเอง

เมื่อหัวหน้าพรรค-หัวหน้ารัฐบาลตัวจริง ไฟเขียวแบบนี้ ต้นคิด เจ้าของร่างพ.ร.บ.ปรองดอง อย่าง “เป็ดเหลิม” ก็เลยเริ่มคุยโวโอ้อวดแล้วว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็น ยาวิเศษ ดับทุกปัญหาของการเมืองให้มลายหายไป

ทั้งที่ร่างพ.ร.บ.ดังกล่าวที่แม้จะตั้งชื่อว่าร่างกฎหมายปรองดอง แต่เนื้อหาที่ซ่อนอยู่ในร่างกฎหมายฉบับนี้ มันเคลือบไปด้วย

“ยาพิษร้ายการเมือง”

ที่ซ่อนอยู่ในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้มากมายหลายอย่าง มันไม่ได้ทำให้เกิดการปรองดองของคนในชาติอย่างที่เฉลิมและพวกส.ส.เพื่อไทยพยายามไขสือบิดเบือนความจริง แต่มันกลับจะยิ่งสร้างความแตกแยกให้กับประเทศ นำมาซึ่งการเผชิญหน้ากันของกลุ่มสนับสนุนและต่อต้านร่างกฎหมายฉบับนี้หากมีการนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ที่สำคัญมันเป็นการจะใช้เสียงข้างมากลากไปในสภาฯ เพื่อฟอกผิดให้กับทักษิณ ชินวัตรและพวกตัวเองเพื่อให้รอดพ้นจากคดีความต่างๆ อันเป็นการทำลายหลักนิติธรรมและนิติรัฐของประเทศ

“ทีมข่าวการเมือง” สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยและกระบวนการทุกอย่างในรัฐสภา แต่ก็ไม่เห็นด้วย หากจะใช้เสียงข้างมากในสภาฯ ที่อ้างว่าได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแล้วมาอ้างเป็น”ฉันทามติประชาชน”มาเที่ยวออกกฎหมายล้างผิด ทำลายหลักการความถูกต้อง กระทืบทิ้งกระบวนการยุติธรรมด้วยเสียงข้างมากในสภาฯ จนกลายเป็นเชื้อไฟนำมาซึ่งความขัดแย้ง -ตอกลิ่มความแตกแยกให้กับประเทศ

แน่นอน เพื่อไทยและเฉลิม ย่อมมั่นใจว่าด้วยเสียงข้างมากในสภาฯ ลำพังแค่พรรคเพื่อไทยพรรคเดียว ก็มีเสียงส.ส.เกินกึ่งหนึ่งแล้ว การจะเสนอหรือดันกฎหมายสำคัญๆสักฉบับเพื่อช่วยทักษิณ ชินวัตร รวมถึงคนในครอบครัวอย่างยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่โดนศาลฯสั่งยึดทรัพย์พ่วงไปด้วยกับทักษิณในคดียึดทรัพย์ หากจะเอาจริง เดินหน้าอย่างเดียว มีหรือจะทำไม่ได้ เพราะพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องโหวตเอาด้วย มีพรรคไหนจะกล้าแหกคอกไม่เอาด้วยกับทักษิณและเพื่อไทย

แต่ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์-เฉลิม-พรรคเพื่อไทย อย่าได้ประมาทพลังของประชาชนที่คัดค้านไม่เอาด้วยกับร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งใครเห็นแล้ว ต่างก็ร้องซี๊ด เพราะมันเป็น

”ยาพิษ-ยาแรง”

ที่สุดในบรรดาร่างกฎหมายปรองดอง-นิรโทษกรรมที่มีผู้เสนอเป็นร่างกฎหมายเข้าสภาฯและจ่อจะนำเสนอในอนาคต อันแยกเป็น ร่างพ.ร.บ.ที่ค้างอยู่ในสภาฯ 6 ฉบับ

คือ ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ, ร่าง พ.ร.บ.ของนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย และคณะ, ร่าง พ.ร.บ.ปรองดองของนายนิยม วรปัญญา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย , ร่าง พ.ร.บ.ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ และล่าสุดที่สภาฯ เห็นชอบให้เลื่อนขึ้นมาจ่อเป็นวาระแรกของระเบียบวาระการพิจารณาร่างพระราช บัญญัติของสภาฯคือร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ชุมนุมทางการเมือง พ.ศ.ของวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯของนิยม วรปัญญา ที่เสนอร่างกฎหมายเนื้อหาใกล้เคียงกันกับของวรชัย เข้าไปประกบอีกฉบับ

หากรวมร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯของเฉลิม ที่จ่อจะยื่นต่อสภาฯและอีกหนึ่งร่างของนายขจิต ชัยนิคม ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยที่ก็จะเสนอร่างพ.ร.บ.ปรองดองอิงนิรโทษกรรมแบบเดียวกับของเฉลิมเช่นกัน เข้าไปอีก

เท่ากับว่า จะมีร่างกฎหมายประเภทปรองดอง-นิรโทษกรรมถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯถึง 8 ร่างเลยทีเดียว!

แต่ฉบับที่แรงสุด ได้ผลตามที่วางแผนไว้เร็วสุด ก็ต้องเป็นร่างของเฉลิม จัดให้ ปูพรมแดงช่วยทักษิณสุดใจขาดดิ้น

“ทีมข่าวการเมือง”ไม่ได้คิดเองเออเอง แต่จะนำส่วนหนึ่งของร่างกฎหมายฉบับนี้ ซึ่งมีส.ส.เพื่อไทยร่วมลงชื่อกันแล้วจำนวนมากและเฉลิมย้ำทุกวันตอนนี้ เปิดสภาฯ 1 สิงหาคมเมื่อไหร่ ยื่นร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เอาเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ทันที มาให้ลองพิจารณากัน

ประเด็นสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ที่ 2 มาตราสำคัญคือมาตรา 3 และ มาตรา 4 ที่เป็นกุญแจสำคัญเปิดช่องให้มีการล้างผิดทักษิณ ชินวัตร ทุกคดีความ รวมถึงพวกแกนนำนปช.ที่เป็นหัวโจกในการก่อการเผาบ้านเผาเมือง ก็ได้เฮกันหมด

โดย มาตรา 3 เขียนไว้แบบนี้

“บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หรือการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำ ดังกล่าวในระหว่าง พ.ศ.2549 จนถึงวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ หากมีการกระทำใดเป็นความผิดตามกฎหมาย ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้กระทำหรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ ไม่เป็นความผิดต่อไป และให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และความรับผิดชอบโดยสิ้นเชิง

ในกรณีที่ผู้กระทำการตามวรรคหนึ่งอยู่ในระหว่างการสอบสวน ให้ผู้มีอำนาจสอบสวนระงับการสอบสวนนั้น ถ้าอยู่ในระหว่างการฟ้องร้อง ให้พนักงานอัยการ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระงับการฟ้อง ถ้าอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี ถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิด ถ้าผู้นั้นรับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุด

ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลใดๆ อันเกี่ยวเนื่องจากการป้องกันระงับ หรือปราบปราม ในเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง การแสดงความเห็นทางการเมือง หรือการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่องกับการกระทำ ดังกล่าวตามวรรคหนึ่งด้วยโดยอนุโลม

เพื่อประโยชน์แห่งพระราชบัญญัตินี้ การชุมนุมทางการเมืองหรือการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง หมายความว่า การกระทำหรือการแสดงความคิดเห็นเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการใดๆ ตามข้อเรียกร้อง และให้หมายความรวมถึงการยึดหรือปิดสถานที่เพื่อประท้วง การต่อสู้ขัดขืนในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือการประทุษร้ายต่อร่างกายและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง”

พิจารณาตีความตามตัวอักษร โดยไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านกฎหมายมากนัก ก็เห็นได้ง่ายๆ ว่ามันเป็นกฎหมายปรองดองหรือกฎหมายล้างผิดพวกเผาบ้านเผาเมืองกันแน่

ส่วนมาตรา 4 ระบุไว้ว่า

“บรรดาการกล่าวหาการกระทำความผิดบุคคลใดๆ ที่เกิดจากคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งได้ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินเมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 หรือจากคณะบุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

หรือเป็นการกล่าวหาจากหน่วยงานอื่นใด อันเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินการของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ว่าเป็นการกล่าวหาในข้อหาใด ให้ถือว่าเป็นการกล่าวหาในความผิดทางการเมือง และให้การกล่าวหาการกระทำความผิดนั้นเป็นอันระงับไป โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เป็นผู้กระทำความผิด และให้นำความในมาตรา 3 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

พิจารณาจากตัวบทกฎหมายหากร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ แล้วนำข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ทางการเมืองมาพิจารณาประกอบ เพื่อดูเจตนาการเสนอร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้

จะเห็นได้ว่า ผลการสอบสวนของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามคำสั่งคปค.อย่างที่ในมาตรา 4ระบุ ก็คือ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ที่เป็นต้นเรื่องเอาผิดทักษิณหลายต่อหลายคดี

อาทิ คดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ-คดีร่ำรวยผิดปกติหรือคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาท-คดีปล่อยเงินกู้ของธนาคารกรุงไทย -คดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงค์ให้กับพม่า หรือคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษเอาผิดทักษิณ ในฐานะหัวโจกใหญ่ในคดีก่อการร้าย ซึ่งเป็นคดีที่เกิดจากการชุมนุมทางการเมืองอันเข้าข่ายมาตรา 3 ของร่างพ.ร.บ.ปรองดองฯของเฉลิม ด้วยเช่นกัน ก็จะถูกล้างผิดคดีความทั้งหมดของทักษิณจะถูกเป่าหายไปในชั่วพริบตาจากผลพวง ของร่างกฎหมายฉบับนี้หากมีผลบังคับใช้

ดูกันง่ายๆ แค่นี้ ไม่ต้องตีความกันให้ยุ่งยากหากร่างกฎหมายนี้ประกาศใช้ขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ามันเข้าทาง คนบางคนมากที่สุด ที่ก็ไม่ใช่ใคร ทักษิณ ชินวัตร นั่นเอง

แล้วแบบนี้ เฉลิม จะมาปากแข็ง บอกเป็นกฎหมายปรองดองได้อย่างไร เมื่อมันเห็นชัดแจ้งกันจะๆ ว่ามันเป็นกฎหมายล้างผิด ฟอกดำเป็นขาว เอื้อประโยชน์ตอบสนองรับใช้ ทักษิณ แบบเห็นๆ
ทักษิณ ชินวัตร


กำลังโหลดความคิดเห็น