“ดร.เสรี” ระบุบ้านเมืองปั่นป่วนเหตุคนโลภที่ไม่รู้จักพอ กระหายอำนาจ ไม่เคารพกติกาและไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย มอมเมาคนด้วยเงิน ประชานิยม กำจัดคนเห็นต่างรู้ทัน ทำทุกวิถีทางแค่ขอให้ได้ยึดครองประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 30 เม.ย. เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนและการตลาด โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ดร.เสรี วงษ์มณฑา สาเหตุแห่งความ ดังนี้
“คนที่รักชาติและห่วงใยบ้านเมือง ต่อให้งานยุ่งแค่ไหนก็ต้องหาเวลาในการจะแลกเปลี่ยนความคิดและสร้างพลังใจให้คนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน การให้ข้อมูลซึ่งกันและกัน การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน การพัฒนากลุ่มคนผู้ร่วมอุดมการณ์ให้เติบโตขี้นทั้งเชิงคุณภาพและปริมาณเป็นสิ่งที่คนรักบ้านรักเมืองต้องจัดสรรเวลาให้ได้ ไม่ใช่เป็นกิจกรรมฆ่าเวลาของคนว่างงานอย่างที่คนบางคนคิด
ถ้าหากเราต้องการให้เกิดการเปลี่ยนบางอย่าง เราต้องแสดงความคิดเห็น ถ้าพูดครั้งสองครั้งผู้มีอำนาจไม่ฟัง เราก็ต้องพูดต่อไปจนกว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลง การพูดเรื่องเดิมๆที่พูดแล้วไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ต้องพูดซ้ำๆ เป็นการใช้ความถี่เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การสื่อสารให้เกิดความสัมฤทธ์ ไม่ใช่การบ่น แต่คนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของเราก็จะมองว่าเราพูดซ้ำซาก บ่นเหมือนล้อติดหล่มที่ไม่ยอมเลิกรา แต่คนที่เห็นด้วยว่าจะต้องขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง จะไม่มองเป็นคำพูดซ้ำซาก แต่จะมองเป็นการเสริมพลังจนแกร่งพอที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เราเชื่อ หรือจะบอกว่าในความคิดเห็นของเราก็ได้ ว่าประเทศไทยที่เป็นอยู่นี้เป็นเพราะ
1. มีคนคิดที่จะครอบครองประเทศไทย มีเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ
2. ในความอยากได้นั้นทำให้เกิดการบริหารงานที่ไม่สุจริต ทำผิดกฎหมาย พยายามเปลี่ยนกติการเพื่อให้เอื้อต่อความสัมฤทธิ์แห่งความทะเยอทะยาน
3. ในความพยายามนั้น เขาใช้เงินจ้างผีโม่แป้ง ซื้อตรงๆ ซื้ออ้อมๆด้วยนโยบายประชานิยม ทำให้มีคนรักและชื่นชมคนๆนั้น มองเป็นเทวดา เหมือนพระผู้มาโปรด ในที่สุดก็ได้ ส.ส. ส่วนหนึ่ง (ส่วนมาก) ข้าราชการส่วนหนึ่ง ตำรวจส่วนมาก ทหารจำนวนหนึ่ง (ไม่รู้ว่ามากแค่ไหน) และประชาชนที่ได้รับผลประโยชน์อันจับต้องได้จากนโยบายรักเขามาก มาสยบอยู่แทบเท้า ยอมเป็นองครักษ์พิทักษ์ คนที่เขามองว่าเป็นเทวดาผู้มาโปรด
4. ใครรู้ทันก็จะคุกคามเขา กำจัดจากวงการสื่อ ใช้นักเลงเสื้อแดงคุกคาม ใช้กฏหมายจัดการฝ่ายตรงกันข้ามด้วยการฟ้อง จนกระทั่งมีคดีฟ้องคนอื่นเต็มศาล
5. เมื่อถูกจับความผิดได้ก็ไม่เคารพกฎหมาย กล่าวหากระบวนการยุติธรรมของไทยว่าไม่มีความน่าเชื่อถือ อยู่ใต้อิทธิพลของอำมาตย์ สร้างวาทกรรมครอบงำคนเสื้อแดงว่าถูกกลั่นแกล้งโดยคนที่อิจฉาความเก่ง ความเป็นที่นิยมของตนเอง
6. และแล้วประเทศไทยก็แบ่งขั้วแบ่งข้างชัดเจน ด่าทอต่อว่ากันแรงๆ บ้านเมืองมีตวามแตกแยกชัดเจน พูดจากันด้วยเหตุผลไม่เป็น ใครคิดค่างจะโดนด่า โดนทำร้าย โดนประณามหยามเหยียด
7. มีความพยายามที่จะแก้กติกาที่จะทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติกับบริหารกลายเป็นพวกเดียวกันจนไม่มีการตรวจสอบกันได้อีกต่อไป ผู้บริหารนึกอยากทำอะไรก็ทำ ฝ่ายนิติบัญญัติซีกรัฐบาลมีเสียงข้างมาก กฎหมาย นโยบาย โครงการอะไรของรัฐบาลผ่านฉลุยจนประชาพึ่งพารัฐสภา ถ้าหากเขาครอบตุลาการได้อีกขาหนึ่ง ประเทศไทยก็จะเป็นของเขาทันที คราวนี้อยากทำอะไรก็ทำได้จะไม่มีก้างมาขวางทางอีก จึงมีความพยายามจะกำจัดศาลรัฐธรรม ศาลฎีกาคดีผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง และศาลปกครองเขา
8. การปรองดองเกิดไม่ได้ ฝ่ายหนึ่งต้องการกลับบ้านอย่างเท่ๆ ไม่ต้องการขึ้นศาล ไม่เคารพกฎหมาย และต้องการเงิน 46,000 ล้านคืน อีกฝ่ายหนึ่งต้องการให้ทุกคดีผ่านกระบวนการยุติธรรม แค่ความต้องการสองทิศทางนี้เราก็เห็นแล้ว่ามันด้วยกันไม่ได้
9. ทั้งสิ้นทั้งปวงเกิดจากความโลภที่ไม่รู้จักพอ กระหายอำนาจ ไม่เคารพกติกาและไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมของไทย และทำทุกอย่าง (ไม่เกี่ยงวิธี) แค่ขอให้ฝ่ายของตนเป็นผู้ชนะในการได้ยึดครองประเทศไทยก็พอแล้ว”