โฆษกประชาธิปัตย์สับรัฐไม่ใส่ใจปัญหาประชาชน ทำแต่เพื่อประโยชน์พวกพ้อง แถมจัดเวทีเป่าหูบิดเบือนข้อเท็จจริง ยันเดินหน้าไฮด์ปาร์กแฉต่อ “องอาจ” จี้ฟังข้อมูลผลศึกษาปัญหาคอร์รัปชัน หลังพบจ่ายใต้โต๊ะ 50 เปอร์เซ็นต์ แนะมีท่าทีชัด
วันนี้ (27 เม.ย.) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า เรื่องการจัดลำดับความสำคัญของปัญหาประเทศขณะนี้ ซึ่งรัฐบาลมีความพยายามที่จะเดินหน้าผลักดันในเรื่องที่เป็นประเด็นการเมืองในช่วงปิดสมัยประชุมสภา แต่รัฐบาลกลับไม่สนใจปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริง เช่น พรรคเพื่อไทยจะเปิดเวทีปราศรัยโดยเน้นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ การออกกฎหมายนิรโทษกรรม และเรื่องเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ตรงนี้เป็นจุดที่ชี้ให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยทราบดีว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ประชาชน แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของนักการเมือง หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาล จึงเป็นเหตุให้มีการจัดเวทีบิดเบือนข้อเท็จจริงเป่าหูประชาชน เพื่อให้คล้อยตามสภาและยินยอมในสิ่งที่รัฐบาลจะดำเนินการในช่วงเปิดสมัยประชุมสมัยหน้า จะเห็นว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องประโยชน์ของนักการเมืองล้วนๆ ทั้ง 3 ประเด็น
นายชวนนท์กล่าวว่า ดังนั้นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์จะดำเนินการต่อไป ในช่วงปิดสมัยประชุม คือ การเดินหน้าเวทีผ่าความจริงฯ พูดถึงสิ่งที่รัฐบาลกำลังสร้างความเสียหายกับประชาชนแล้ว พรรคก็จะเรียกร้องเพิ่มเติมในประเด็นต่างๆ ที่รัฐบาลควรกลับมาให้ความสำคัญกับประชาชน ดังนี้ 1. ปัญหาภัยแล้ง 2. สถานการณ์ของแพงที่ย้อนกลับมาอีกครั้ง และเป็นสภาวะที่แพงกว่าทั้งแผ่นดิน ซึ่งปีนี้แพงกว่าปีที่แล้ว 3. ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะราคายางพาราที่ตกต่ำต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ 4. มีข่าวว่ากระทรวงพลังงานจะมีมติลอยตัวแก๊สหุงต้มในภาคครัวเรือน เริ่มต้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน โดยทยอยปรับเพิ่มขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ จนกว่าจะครบ 6 บาทในหนึ่งปี ซึ่งจะเท่ากับราคาก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่ง และจากนั้นก็จะปรับราคาทั้งภาคขนส่งและภาคครัวเรือน ให้เท่ากับราคาก๊าซในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งตนยืนยันจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ว่า คัดค้านการลอยตัวก๊าซหุงต้มในภาคครัวเรือน เพราะประเทศไทยมีก๊าซแอลพีจีเป็นของตัวเองในอ่าวไทย จึงไม่จำเป็นที่จะไปอ้างอิงราคาตลาดโลก
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ชี้ว่า ปัญหาคอร์รัปชันไม่ได้ลดลง แต่กลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการรับเงินใต้โต๊ะเพิ่มขึ้นจาก 10 เปอร์เซ็นต์เป็น 25-30 เปอร์เซ็นต์ บางโครงการก็มีการรับเงินใต้โต๊ะกันถึง 50 เปอร์เซ็นต์ว่า ตนคิดว่าข้อเสนอในที่ประชุม โดยเฉพาะของหน่วยงานภาครัฐ อยากเรียกร้องให้รัฐบาลรับฟังข้อมูลดังกล่าวอย่างจริงจัง เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยถูกจัดอันดับจากต่างประเทศว่าสอบตกในเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชันอย่างต่อเนื่อง ครั้งนี้เป็นข้อมูลจากองค์กร สถาบันการศึกษาที่ต้องการช่วยกันป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน ดังนั้นจึงคิดว่ารัฐบาลควรมีวิสัยทัศน์ในการจัดระดับเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชันให้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะที่ผ่านมาเวลาการเปิดเผยข้อมูลทุจริต รัฐบาลมีท่าที่รับทราบแต่ก็ไม่ได้มีมาตรการที่จะป้องกันอย่างจริงจัง หรือก่อให้เกิดประโยชน์หรือมั่นใจได้ว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้ เพราะฉะนั้นคิดว่าเป็นข้อมูลครั้งนี้เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อรัฐบาลในการดำเนินการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน
“ขอเรียกร้องนายกรัฐมนตรีควรใช้โอกาสนี้ในการเป็นผู้นำออกมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตอย่างจริงจัง และเรียกข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ที่ได้เข้าไประชุมร่วมกันในครั้งนี้นำมาเป็นข้อมูลประกอบในการแก้ไขปัญหาทุจริต หากนายกรัฐมนตรี ไม่มีท่าทีใดเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมา หรือไม่มีมาตรการ นายกฯก็อาจจะถูกมองว่าไม่ให้ความสำคัญกับปัญหาการทุจริต ทั้งๆ ที่การทุจริตเป็นมะเร็งร้ายของสังคม มีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักการเมืองที่อยู่ในฝ่ายบริหาร บริหารงบประมาณ โครงการต่างๆ ดังนั้น เมื่อนายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำของฝ่ายบริหาร ก็ควรมีท่าทีและกำหนดบทบาทมาตรการที่ชัดเจนเพื่อให้สังคมเห็นว่าการทุจริตไม่ได้เป็นเรื่องปกติ” นายองอาจ กล่าว