สะเก็ดไฟ
จากปอดแหกพะว้าพะวงอำนาจ ไม่กล้าแตะต้องของร้อนๆ ชนิดเจอต้องกระเด้งตัวเลี่ยงไปอยู่ไกลๆ มาวันนี้ท่าทีนักโทษหลบหนีคดี "ทักษิณ ชินวัตร" เปลี่ยนไปเยอะ ออกแนวบู๊ล้างผลาญอันธพาลนักเลง เมื่อนายว่าขี้ข้าก็ต้องพลอย สมุนลิ่วล้อจอมสอพลอ ระยะหลังทำฟึดฟัด แสดงอาการเลือดเข้าตาเหมือนหมาบ้าไล่กัดดะ!!
ไม่ว่าจะเป็นคิวเดินทางหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตรา ที่จับมือกับพรรคร่วมรัฐบาล และส.ว.ซีกเลือกตั้ง แพ็กกันเสนอเข้าสภาฯแบบแยกกันเดินรวมกันตี ปิดช่องเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนด้วยการโยนไปให้อีกฝ่ายเป็นคนยื่นให้ในมาตราที่ตัวเองได้รับประโยชน์ สับขาหลอกด้วยนึกว่าประชาชนบริโภคหญ้า
ตั้งใจจะกลบภาพไม่ดีไม่ร้ายออก แต่กลับติดหล่มลึกกันอีกครั้ง เพราะศาลรัฐธรรมนูญดันรับคำร้องตามที่บรรดาแนวต้านแทงเรื่องกันอุตลุดให้ยื่นตีความในมาตรา 68 และ 237
หัวเสียหน้าเขียวกันทั้งองคาพยพที่ร่วมสังฆกรรม ทั้งบรรดาส.ว.เลือกตั้งบางส่วน และส.ส.ฟากรัฐบาล ออกอาการฟาดงวงฟาดงา บ้างจะไม่ทำหนังสือชี้แจงภายใน 15 วัน ที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด บ้างเดินทางกันไปยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงตุลาการศาลรัฐธรรรมนูญบ้าง บางกลุ่มน้ำลายฟูมปากกเล่นแรงถึงคิดถอดถอนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คน
ยังไม่นับรวมบรรดาแฟนคลับเสื้อแดงเผาเมือง ที่ยกโขยงกันไปตั้งเต็นท์นอนที่หน้าที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญกันอีกกลุ่มย่อยๆ เพื่อคัดค้านการทำหน้าที่ ใช้กฎหมู่ข่มขู่ตุลาการ
ตามบรรยากาศหุนหันกันแบบอุปทานหมู่คัดค้าน ต่อต้าน ศาลรัฐธรรมนูญกันแบบออกไมค์ จากเดิมที่ไม่กล้า เพราะอึดอัดมานาน อึดอัดเหลือเกิน เวลานี้มันหมดทางเดิน แม้แต่ทางจะถอย การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับก็โดนกุญแจล็อกปิดตายด้วยคำวินิจฉัยของศาลเมื่อปีที่แล้ว ชี้หน้าสั่งว่าหากจะทำต้องทำประชามติก่อน แต่มันยากเกินไป
ครั้นพอเลือกคลิ๊กแบบรายมาตราตามที่ศาลรัฐธรรมนูญแนะนำ กลับยังโดนเบรกกันอีกระลอก สร้างความหงุดหงิดงุ่นง่าน โดยอารมณ์สำคัญคือทำให้กระบวนการเคว้งคว้างเหมือนเกียร์ว่าง ขยับเขยื้อนไม่ได้ เพราะส.ส. และส.ว.ที่ร่วมสังฆกรรมระแวงไม่กล้าจะเดินต่ออย่างมั่นใจ เหมือนใส่ผ้าอนามัยแบบมีปีก เพราะติดแหงกอยู่ตรงที่ศาลรับไว้พิจารณา
คิวนี้เลยเหมือนถูกต้อนจนมุม เลยต้องฮึดสู้แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แสดงให้เห็นว่า 1 ขา ของ “อำนาจตุลาการ” กำลังก้าวก่าย 1 ขา ของ “อำนาจนิติบัญญัติ” อย่างแจ่มชัด
ตีฆ้อง เปิดศึกเกมสองอำนาจใหญ่ในประเทศวัดพลังกันเลย!!
กับอีกอารมณ์ที่เริ่มจับทาง “โหมด” เปลี่ยนจาก “รับ” เป็น “รุก” จาก “บุก” เป็น “บุกเต็มตัว” ของใครบางคนที่อยู่ต่างประเทศ คือคิวที่กดไฟเขียวให้ "วรชัย เหมะ" ส.ส.เสื้อแดงพรรคเพื่อไทย จากสมุทรปราการ กับพวกอีก 42 คน ดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ แบบเป็นกิจลักษณะ และมีคำสั่งประกาศิตเป็นมติพรรคให้ช่วยกันยกมือโหวตดันร่างขึ้นมาพิจารณาแบบเร่งด่วน ปาดหน้าเค้ก
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ออกลูกแหยงไม่กล้าแตะต้องเพราะเป็นของร้อน ประเภทลวกไม้ลวกมือให้พองเป็นแผลเหวอะหวะกันได้ แต่หนนี้มาแปลก ทั้งน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ “ทักษิณ” เปิดไฟเขียวให้ผ่านตลอด
งานนี้ไม่ได้เลื่อนๆ มาเพื่อเลี้ยงอารมณ์มวลชนคนเสื้อแดงอย่างเดียวแน่ แต่อีกนัยหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณใส่เกียร์ห้า ถึงเวลาลุย ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้ว เพราะไม่ว่าวิ่งออกรูไหน ก็มีคำตอบมาแล้วพรรคเพื่อไทยโดน “สกัด” ทุกทาง
หากยังปล่อยไว้อย่างนี้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” จะกระดิกตัวไม่ได้เลย ที่ผ่านมาไม่ว่าจะหยิบจับอะไรโดนเบรก โดนเตะสกัดทุกรอบ
จับทาง “ทักษิณ” ขยับรอบนี้ ออกแนวปรับยุทธศาสตร์จากเดิมพยุงอำนาจน้องรัก ไม่แตะ ไม่ต้อง ไม่เฉียดของร้อน มาเป็นยุทธศาสตร์ “ไล่ทุบให้น่วม” ซะแล้ว
ทั้ง “รัฐธรรมนูญ” และ “นิรโทษกรรม” จากเดินตบเกียร์ต่ำ เกียร์สอง เกียร์สาม ไม่ชัวร์ไม่เสี่ยง มาเปลี่ยนเป็นเกียร์ห้าลุยลูกเดียว ชนิดวัดใจกันไปเลยกับ “ศาลรัฐธรรมนูญ”ว่าจะเอาอย่างไร
“ทักษิณ” ปรับโหมดใส่เกม “บุก” รอบนี้ ดูแล้วไม่น่าจะเลือดเข้าตาเพราะอารมณ์ แต่แว่วว่ามีกลเกมที่วางเอาไว้ สำรองแผนไว้หลายช็อตแล้วเหมือนกัน
ดูกันตามสถานการณ์ ตามยุทธศาสตร์ “ไล่ตีให้น่วม” น่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่เตรียมจะทำ เอาไว้ขู่ก่อนในช่วงแรก เพราะจริงๆ ยังเหลือจุดหมายสำคัญอย่างร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ที่ต้องเข็นขึ้นภูเขาให้ได้ก่อน รวมทั้งร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 57 ด้วย
หลังจากนั้นแล้วจึงค่อยมาเปิดหน้าสู้แบบเต็มตัว ชนิดเกหมดหน้าตัก ทั้ง “รัฐธรรมนูญ” ทั้ง “นิรโทษกรรม” ดันกันแบบไม่ต้องเกรงใจกันต่อไป ดันกันให้ถลอกปอกเปิด แม้บรรดาฝ่ายต้าน องค์กรอิสระจะเข้ามาถ่วงดุลเตะสกัดในตอนนั้น “ทักษิณ” ไม่สน จะบุกอย่างเดียว!!
หากเห็นท่าไม่ดี ไม่มีโอกาสสำเร็จ หรือส่อว่าบ้านเมืองจะเข้าสู่วังวนแห่งความขัดแย้งอีกครั้ง ก็จะรีเซ็ตเครื่องกันใหม่ ด้วยการ “ยุบสภา” หยุดความวุ่นวายตามพะยี่ห้อ“เหลี่ยมดูไบ” เพราะเชื่อมั่นกระแสนิยมที่มีอยู่ในมือ เลือกตั้งอีกก็ชนะอีก!!
อีกนัยหนึ่งเกมวัดใจครั้งนี้ที่กล้าเปิดศึกเดิมพันความอยู่รอดรัฐบาล ว่ากันตามๆกลิ่นวงในแว่วมา “ทักษิณ” ระอาบรรดาทีมงานชุดปัจจุบันใน “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” เต็มที เพราะผลงานไม่เอาอ่าว นโยบายประชานิยมต่างๆ ที่หวังกระชากใจพี่น้องประชาชน ผลสัมฤทธิ์กลับกลายเป็นลบมากกว่าเป็นบวก
ไม่ว่าจะเป็นโครงการรับจำนำข้าว ที่ขณะนี้เรื่องอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รอวันชี้มูล หรือนโนบายรถยนต์คันแรกที่ต้องควักเงินคงคลังออกมาใช้ เพราะงบที่ตั้งไว้ไม่เพียงพอ เรียกว่า สารพัดเรื่องยังไม่เข้าเป้าตามที่คาดหวัง
ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจในประเทศช่วงนี้ก็ไม่สู้ดีนัก ทั้งราคาทองคำที่ตกต่ำกราวรูดน่าใจหาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งตัว ที่วันนี้มีเกมการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ระหว่างศึกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กับ “หัวหน้าขุนคลัง” นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ทำงานสวนทางกันตลอด
รัฐบาลในฐานะผู้บังคับบัญชาไม่สามารถเข้าไปก้าวก่าย ได้แต่ยืนดูตาปริบๆ จน “เดอะโต้ง” ต้องออกปากสารภาพ อยากจะปลดผู้ว่าการธปท.คนปัจจุบันใจแทบขาด แต่ทำไม่ได้
อย่างไรก็ดี ตามจังหวะเสี่ยงไล่ทุบงวดนี้หากต้องถึงคิว “ยุบสภา” จริงๆ คนอย่าง “ทักษิณ” จะถือโอกาสล้างไพ่คณะทำงานกันใหม่แบบยกแผง เพราะที่ผ่านมา มีหลายคนที่ไม่โดนอกโดนใจ แต่น่าจะโดนตีน เพียงแต่ติดอยู่ที่น้องสาวสุดที่รัก ดื้อดึงยื้อเอาไว้
และจะถือโอกาสล้างบางระบบ ที่ตุปัดตุเป๋ มาเป็นประชานิยมฉบับแม้ว ที่รุ่งโรจน์โชติช่วงทางการเมือง แต่ทว่าสังคมเสื่อมทราม...