แกนนำ ปชป.ซัดเพื่อไทยจัดเวทีปราศรัยประกบเวทีของพรรคเสมือนยั่วยุ ทำตัวอันธพาล คุกคามประชาชนคนอื่น เตือนรัฐบาลปรามไม่เช่นนั้นเสื่อมเสีย จวกแก๊งแดงชุมนุมหน้าศาล รธน.เกินขอบเขต เข้าข่ายคุกคาม เตือน “ทักษิณ” ยิ่งสั่งสมุนแตกหักกลับบ้านยากขึ้น อีกด้านไม่กลัวดีเอสไอ ร้อง ป.ป.ช.ปมแฟลตตำรวจ เชื่อรัฐจงใจกลั่นแกล้ง โวมีอีกพันคดีจุดยืนก็ไม่เปลี่ยน
วันนี้ (23 เม.ย.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยเตรียมจัดเวทีปราศรัยในลักษณะเดียวกับเวทีผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ ว่า เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ในสังคมประชาธิปไตย ทุกคนมีสิทธิจัดตั้งเวทีพูดคุยแสดงความเห็นทางการเมือง พรรคเพื่อไทยก็ทำอยู่ประจำ แต่ถ้าจะทำโดยมีเจตนาว่าประชาธิปัตย์ตั้งเวทีที่ไหนจะไปตั้งเวทีประชันกันในทำนองเหมือนเป็นการยั่วยุ หรือรังควานก็คงไม่ชอบ ต้องเตือนว่าการใช้สิทธิเสรีภาพต้องอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ คือไม่ทำให้เกิดความเสียหายกับคนอื่น ถ้าไม่มีการขัดขวางการตั้งเวทีของพรรคประชาธิปัตย์พวกตนก็ไม่ว่าอะไร
“แต่ถ้าทำเหมือนกับกรณีที่เกิดขึ้นที่ศรีสะเกษเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็จะเป็นการแสดงถึงความเป็นอันธพาล ไม่เคารพกฎเกณฑ์กติกา และรัฐบาลควรสั่งห้ามไม่ให้กลุ่มเสื้อแดงมากระทำการในลักษณะข่มขู่คุกคามประชาชนคนอื่น หรือลิดรอนเสรีภาพประชาชนคนอื่น ถ้ารัฐบาลไม่ยอมสั่งห้ามแต่กลับรู้เห็นเป็นใจสนับสนุน รัฐบาลก็เสื่อมเสีย ประชาชนก็จะเห็นว่ารัฐบาลไม่เคารพกฎเกณฑ์กติกา เป็นผู้ละเมิดกฎหมายเสียเอง” นายสุเทพกล่าว
ส่วนการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้จะมีการกดดันศาลรัฐธรรมนูญที่กำลังจะวินิจฉัยเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น นายสุเทพกล่าวว่า ต้องดูพฤติกรรมว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าเป็นอย่างที่มีการแสดงออกมา 2-3 วันนี้ก็ถือว่าเป็นการคุกคามศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควร และคิดว่าผิดกฎหมาย ความเห็นจะเห็นด้วยหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การยกพวกไปคุกคามก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และไม่เห็นด้วยที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ที่ออกมาอ้างว่าคนเสื้อแดงมีสิทธิ์แสดงออกว่า ไม่เห็นด้วยกับการก้าวก่ายอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพราะการแสดงความไม่เห็นด้วยต้องไม่ใช่การคุกคามหรือข่มขู่ หากรัฐบาลไม่เลิกพฤติกรรมเช่นนี้ก็เชื่อว่าประชาชนที่รักชาติรักแผ่นดิน รักระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นพระประมุขก็คงไม่นิ่งดูดาย ก็จะเป็นปัญหา
ผุ้สื่อข่าวถามว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีสไกป์มายังที่ประชุมพรรคเพื่อไทยว่า ให้ยุบสภาหากแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ เป็นการส่งสัญญาณให้เดินหน้าแตกหักหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า คนเหล่านี้มีการทำเป็นขบวนการ แบ่งหน้าที่กันทำอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รู้เห็นร่วมกันตลอดเพราะเป็นขบวนการเดียวกัน ซึ่งตนได้เตือน พ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านการปราศรัยในเวทีผ่าความจริงหลายแห่ง เพราะทราบว่าเขาติดตามดูการปราศรัยของพรรคอยู่ โดยบอกว่าการสร้างสถานการณ์ไปสู่การแตกหักไม่เป็นประโยชน์กับฝ่ายเขาเลย ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณตั้งใจที่จะใช้กำลังเข้ามาข่มเหงพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ พ.ต.ท.ทักษิณก็จะลำบาก เพราะประชาชนส่วนใหญ่จะต่อต้านมากขึ้นและโอกาสที่จะกลับบ้านก็จะน้อยลงทุกวัน
“การเคลื่อนไหวแบบนี้ไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์แน่นอน เพราะจะสามารถอยู่ครบเทอมได้ ต้องแสดงความเป็นตัวของตัวเอง ไม่อยู่ภายใต้การบงการของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่าไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีเพื่อผลประโยชน์ของ พ.ต.ท.ทักษิณและลูกน้อง ต้องแสดงความเป็นนายกฯ เป็นผู้นำให้ชัดเจน อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับกระบวนการเสื้อแดง เสื้อดำ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานให้ประชาชนก็จะอยู่ครบเทอม แต่ถ้าแสดงการโอบอุ้มรู้เห็นเป็นใจก็จะเกิดความเสื่อมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์เอง” นายสุเทพกล่าว
ส่วนกรณีที่รัฐบาลเลื่อน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมของนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ขึ้นมาพิจารณาวาระแรก โดยมีการยืนยันว่านายกรัฐมนตรีไฟเขียวแล้ว เป็นตัวอย่างให้เห็นว่ารัฐบาลไม่คิดที่จะรักษากฎหมาย โดยเปรียบเทียบกับเหตุระเบิดที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา มีคนเสียชีวิต 3 คน ต่อมามีการยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เสียชีวิตอีก 1 คน ผู้นำตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปถึงประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผนึกกำลังกันรักษากฎหมาย ติดตามจับกุมคนร้ายมาลงโทษ ประชาชนทั้งเมืองช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ เมื่อจับกุมได้ก็บอกว่าความยุติธรรมชนะแล้ว แต่ในบ้านเราตรงกันข้ามคนร้ายมาฆ่าประชาชน ทหาร ตำรวจกลางถนนราชดำเนินตาย 90 คน จับกุมคนร้ายได้แล้ว กรมสอบสวนคดีพิเศษส่งอัยการส่งฟ้องศาลรับฟ้องแล้ว แต่ผู้นำประเทศคือนายกรัฐมนตรีและ ส.ส.พรรคเพื่อไทย กลับออกกฎหมายบอกให้ปล่อยคนร้ายไป แสดงว่าไม่มีเจตนาที่จะรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย แล้วบ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร
นายสุเทพยังกล่าวถึงกรณีที่ดีเอสไอเตรียมยื่น ป.ป.ช.ให้ตรวจสอบตนและนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาทำผิดกฎหมายฮั้วจากโครงการก่อสร้างแฟลตตำรวจว่า ตนเพิ่งทราบ แต่คดีของพวกตนมีมากจนตั้งหลักไม่ค่อยทัน จึงไม่ทราบข้อเท็จจริงโดยละเอียดว่ามีการตั้งข้อหาอย่างไร แต่ในภาพรวมเรื่องการประมูลจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนได้ให้ความเห็นชอบตามความเห็นของ รักษาการ ผบ.ตร.ในขณะนั้น ซึ่งก็มีเหตุผลและข้อเท็จจริงที่มาประกอบกับเรื่องที่เสนอ ก็ต้องไว้วางใจข้าราชการ และเท่าที่ติดตามดูก็ไม่ปรากฏในเรื่องการฮั้ว เช่น กรณีโรงพักก็เป็นการประมูลแบบอี-อ็อกชัน (E-Auction) มีการเสนอราคาแตกต่างกันถึง 500-600 ล้านบาท ก็ชัดเจนว่าไม่ใช่การฮั้ว แต่กรณีเรื่องแฟลตตนยังไม่เห็นว่าตั้งข้อหาอย่างไร ทั้งนี้ยืนยันว่าพร้อมที่จะไปแก้ข้อกล่าวหาในทุกคดี
“การแจ้งข้อกล่าวหาของดีเอสไอนั้น ผมรู้สึกตลอดเวลาว่าดีเอสไอทำตัวเป็นเครื่องมือของรัฐบาลกลั่นแกล้งฝ่ายผม ทั้งนายอภิสิทธิ์ และผมโดนมาตลอด แม้กระทั่งในบางกรณีที่ดีเอสไอไม่มีอำนาจในการสอบสวนแต่เป็นอำนาจของ ป.ป.ช. เพราะทั้งผมและนายอภิสิทธิ์เป็นเจ้าพนักงานอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี แต่ดีเอสไอก็ลุแก่อำนาจนำเรื่องมาสอบสวนเอง และผมก็ได้ดำเนินคดีต่อดีเอสไอไปบ้างแล้ว” นายสุเทพกล่าว
ส่วนกรณีที่ดีเอสไอตั้งเรื่องส่งให้ ป.ป.ช.ก็คงฟ้องไม่ได้ เว้นแต่พยายามจะดำเนินการด้วยตัวเอง ทั้งนี้ตนวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้นเห็นว่ามีความพยายามจะบีบบังคับให้พวกตนจำยอม โอนอ่อนผ่อนตามให้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่เขาเรียกว่าปรองดอง หากไม่ยอมก็จะหาเรื่องเรื่อยไปก็ไม่เป็นไร ตนบอกแล้วว่าหามาได้ทุกเรื่อง สู้ทุกเรื่องไม่ไปไหน และไม่มีผลต่อการกำหนดจุดยืนทางการเมือง แจ้งข้อหามาอีกร้อยหรือพันคดีก็สู้ทั้งนั้นไม่มีปัญหา