“มัลลิกา” เผย ปชป.พอใจผลคะแนนเลือกตั้งซ่อมเชียงใหม่เพิ่ม สวนทาง พท. เหตุเสียเปรียบอำนาจ-เงิน ส่ง “ชวน” เดินสายขอบคุณ เชื่อตระกูลชินวัตรทบทวนเสียงหายอื้อ ปลุก กกต.กลางลุยสอบ 4 ปมโกงเอง หวั่น กกต.เชียงใหม่ใจฝ่อ ทั้งผัวคนในบ้านผู้สมัคร พท.ขนคนเลือกตั้ง ตร.นอกเครื่องแบบตามกดดันฐานเสียง ปชป. ลั่นเรื่องถึง กมธ. แถมถูก “ดีเจอ้อม” บุกป่วนหาเสียง ยันเอาผิดไม่ยอมความ
วันนี้ (22 เม.ย.) น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จ.เชียงใหม่ ว่าหัวหน้าพรรค สภาที่ปรึกษาพรรค รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ต่างชื่นชมศูนย์อำนวยการเลือกตั้ง ส.ส.เขต 3 จังหวัดเชียงใหม่ เพราะจากผลการเลือกตั้งไม่เป็นทางการ ที่คะแนนของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ 21,372 คะแนน พรรคเพื่อไทยได้ 67,101 คะแนน ไม่ประสงค์ลงคะแนน 8,851 คะแนน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้สิทธิปี 55 ผู้มาใช้สิทธิเพิ่มขึ้น 3,001 คะแนน ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเพิ่มขึ้น 2,397 คะแนน ส่วนพรรคเพื่อไทยคะแนนลดลง 5,284 คะแนน แม้จะมีการวิเคราะห์ว่าพรรคประชาธิปัตย์เสียเปรียบทุกอย่างทั้งอำนาจรัฐ และอำนาจเงิน แต่ในส่วนทีมงานที่ดูแลการเลือกตั้งถือว่าได้ผลตามเป้าหมายในการสร้างความร่วมมือในการทำงานระหว่าง ส.ส. ผู้สมัคร ส.ส. อดีต ส.ส.และผู้สนับสนุนในพื้นที่ โดยได้สร้างความรับรู้ให้กับคนเชียงใหม่ในการรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิได้เป็นอย่างดี และยังโน้มน้าวให้คนได้เห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ส่อไปในทางไม่สุจริต ซึ่งได้มีการร้องเรียนไปยัง กกต.แล้ว 4 เรื่อง โดยหลังจากนี้นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์จะนำทีมไปตระเวนขอบคุณประชาชนในพื้นที่อีกครั้ง
“ผลคะแนนที่ออกมาเชื่อว่าคนตระกูลชินวัตรจะต้องตั้งสติ และทบทวนฟังเสียงประชาชนให้มากขึ้น เพราะจากคะแนนที่ลดลงเป็นการสั่งสอนคนของพรรคเพื่อไทย ที่คะแนนของนางเยาวภาที่ถือเป็นเจ้าแม่แต่ได้คะแนนน้อยกว่าคนขับรถของตัวเองคือนายเกษม นิมมลรัตน์ ที่ลาออกจาก ส.ส.เพื่อให้นางเยาวภาลงสมัคร และโดยเฉพาะคะแนนโหวตโนที่สูงเป็นปรากฏการณ์ของเขตเลือกตั้งดังกล่าว สูงสุดของจังหวัดเชียงใหม่ ก็เท่ากับว่าประชาชนสะท้อนให้พรรคเพื่อไทยได้สติมากขึ้น จึงขอให้รัฐบาลรับฟังผลสะท้อนนี้ด้วย” น.ส.มัลลิกากล่าว
น.ส.มัลลิกากล่าวอีกว่า ตนขอฝากถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้พิจารณาถึงปัญหาการกระทำที่ส่อถึงความไม่สุจริตในการเลือกตั้ง โดยเชื่อว่าการร้องคัดค้านของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์จะเป็นผลหาก กกต.มีการเอาใจใส่ในการพิจารณาตามข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริงอย่างจริงจัง และอยากให้ กกต.กลางเข้าไปดูแล เนื่องจากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ไว้ใจ กกต.เชียงใหม่ว่าจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เพราะในพื้นที่นี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ทั้งนี้ สำหรับเรื่องร้องเรียนทั้งหมด 4 เรื่อง มีการร้องเรียนการกระทำผิดมาตรา 57 คือ เจ้าหน้าที่รัฐเอื้ออำนวยให้มีการขนคนไปลงคะแนน โดยมีหลักฐานเป็นพยานจากประชาชน 60 ราย แนบไปในสำนวนแล้วและคลิปวิดีโอที่ประชาชนยืนยันว่าไม่ทราบเรื่องการลงคะแนนล่วงหน้า รวมทั้งเอกสารที่เกี่ยวข้องที่ผู้นำท้องถิ่นเซ็นเองทั้งหมดจึงถือเป็นความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลงเอกสารด้วย และที่สำคัญคนขับรถดังกล่าวก็เป็นสามีของคนที่ทำงานในบ้านผู้สมัครพรรคเพื่อไทย
นอกจากนี้ยังมีการร้องเรียนเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งและไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัย มาตามประกบผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีการพกปืนเถื่อน และมีข้อมูลที่สื่อสารผ่านระบบไลน์รายงานข้อมูลผู้ที่สนับสนุนผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากนั้นจะมีการส่งเจ้าหน้าที่ตามประกบข่มขู่ให้เลิกสนับสนุนผู้สมัครของพรรค ซึ่งมีหลักฐานการรายงานผลที่กำนัน ผู้ใหญ่บ้านบางรายไปรายงานตัวต่อนายอำเภอถอนการเป็นผู้สนับสนุนผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งจะมีการร้องเรียนไปยัง กกต.เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องนี้ และจะร้องเรียนไปยังกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎรด้วย
นอกจากนั้นก็มีกรณีที่นางกัญญาภัค มณีจักร หรือดีเจอ้อม แกนนำเสื้อแดงเชียงใหม่ ที่ได้บุกเข้าไปป่วนเวทีปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ในวันที่ 17 เม.ย. 56 โดยมีการตะโกนให้ร้าย เสียดสี ดูหมิ่นซึ่งหน้า ทำให้ประชาชนที่ไปฟังคำปราศรัยเกิดความหวาดกลัว และรู้สึกไม่ดีกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตนได้รับมอบหมายให้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับดีเจอ้อมและตำรวจได้รับแจ้งความตามความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า ซึ่งยืนยันว่าจะไม่มีการยอมความใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนี้ยังมีหลักฐานที่ชัดเจนถึงความเชื่อมโยงระหว่างดีเจอ้อมกับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีด้วย