เกาะกระแส
00 บรรยากาศยามนี้ก็ต้องเข้าใจความจริงอย่างที่ว่าจริงๆ นั่นคือเรา (คนไทยทุกคน) กำลังถูกบังคับให้รอการชี้ชะตาของศาลโลกในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า ว่าจะตัดสินออกมาอย่างไร จะ "เจ๊า"หรือ "เจ๊ง" กันแน่ เพราะว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นคือ ฝ่ายเขมรฮุนเซน ยื่นตีความคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 ว่านอกจากตัวปราสาทพระวิหารแล้ว "อาณาบริเวณ" ของปราสาทครอบคลุมไปถึงไหน แค่พื้นที่ที่ไทยล้อมรั้วเอาไว้ หรือว่ากินพื้นที่ของไทยในอาณาบริเวณพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ตามมาตราส่วนแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน หรือไม่
00 สถานการณ์ที่เป็นอยู่ต้องบอกว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะเราเข้าสู่กระบวนการของศาลโลกแบบเต็มร้อย สิ่งที่เรายกขึ้นมาสู้นอกจากเรื่องเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวกับแผนที่ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทั้งคำพูดและเอกสารสำคัญมีดฝ่ายกัมพูชาว่า "มั่ว" ฉ้อฉล ต้องการ "แฝงอุทธรณ์ตีความ" เพื่อหวังฮุบพื้นที่ของไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร เพื่อให้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกมีพื้นที่ "บริหารจัดการ" รอบปราสาทสมบูรณ์แบบ ที่สำคัญต้องการพื้นที่ของไทยเพิ่มเติม และถ้าเขมรชนะคดีแล้วนอกจากจะได้พื้นที่ดังกล่าวแล้ว ยังอาจมีผลกระทบกับพื้นที่ของไทยตามมาอีก เพราะกัมพูชา อาจนำไปต่อยอดในการเจรจาแบ่งเขตแดนใหม่ในอนาคต โดยเฉพาะพื้นที่ในอ่าวไทย
00 แม้ว่านาทีนี้ไม่มีข้อกังขา และต้องชื่นชมให้กำลังใจทีมทนายความของไทยที่นำโดย วีรชัย พลาศรัย ที่ค้นหาหลักฐานต่างๆ มาหักล้างฝ่ายกัมพูชาได้อย่างหมดจด รวมทั้งกระชากหน้ากากแก๊งเขมรฮุนเซน ว่าต้องการ "ปล้นแผ่นดินไทย" เท่านั้น แต่คำถามก็คือ แล้วหลังจากนี้ไปล่ะเราจะทำอย่างไร ต้องรอคำตัดสินของศาลโลก ว่าจะออกมาแบบไหน แม้ว่าทีมทนายของไทยจะแย้งว่าศาลไม่มีอำนาจตีความคำร้องของกัมพูชา เพราะเป็นการอุทธรณ์แฝงมากับการตีความก็ตาม เพราะปัญหาก็คือ หากศาลโลกยืนยันว่า "มีอำนาจ" ตีความตามคำร้อง และถ้าเลวร้ายไปอีกก็คือ พิพากษาให้ไทย "ต้องเสียดินแดนเพิ่ม" คนไทยต้อง "ก้มหน้า"ยอมรับอย่างนั้นหรือ
00 เพราะคำแย้งของไทยคือศาลโลก "ไม่มีอำนาจ" ไม่ใช่การประกาศ "ขอสงวนสิทธิ์ไม่ยอมรับอำนาจศาลโลก" หากตีความเกินขอบเขตและกระทบกับอธิปไตยของไทย สอดคล้องกับท่าทีของฝ่ายรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต พงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่ออกมาในแนวทางเดียวกันคือ "สู้เต็มที่แต่เมื่อศาลตัดสินออกมาอย่างไรก็ต้องยอมรับ" แล้วยังแถมไปอีกว่าให้คนไทยอยู่ในความสงบ เดี๋ยวกระทบความสัมพันธ์กับกัมพูชา.. ทุด !!
00 ที่น่าทุเรศก็คือ การออกมาเกาะเกี่ยว "ชายกางเกง" ของ วีรชัย กันทั้งรัฐบาล และทั้งพรรคเพื่อไทย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่นานก็เป็นคนปลดท่านทูตพ้นเก้าอี้อธิบดีกรมสนธิสัญญา ไม่ให้เข้ามาเป็นกรรมาธิการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี) ซึ่งก็มีทั้ง นพดล ปัทมะ เมื่อครั้งเป็นรมว.ต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วมยอมเปิดทางให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียวต่อเนื่องมาถึงยุคที่ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล ที่มี ยิ่งลักษณ์ เป็นนายกฯ ที่รวมหัวกันปลดพ้น เจบีซี ดังกล่าว และจะว่าไปแล้วหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าก่อนหน้านี้คนในรัฐบาลพยายาม "โยนบาป" ให้เห็นว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น ทีมทนายชุดวีรชัย นั่นแหละ ต้องรับผิดชอบ และต้องการโยนให้รัฐบาลประชาธิปัตย์ เพราะเป็นคนแต่งตั้ง แต่มาว่าวันนี้ เมื่อกระแสรักชาติเริ่มพุ่งสูง ก็เปลี่ยนท่าทีหันมาเกาะกระแสดังกล่าวแบบหน้าไม่อาย