“ยิ่งลักษณ์” มอบ “สุรพงษ์-วีรชัย” แจงการสู้คดีเขาพระวิหารกับเขมรต่อศาลโลก ผ่านรายการรัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน “ปึ้ง” ยันสู้เต็มที่ พอใจทีมทนายฝ่ายไทยทำการบ้านมาอย่างดี เพื่อชี้ให้ศาลเห็นว่าไม่ควรรับตีความตามคำร้องเขมร ปัดฮั้วเพื่อผลประโยชน์ อยากเห็นออกมาเสนอตัว พร้อมจับมือกัมพูชาสานสัมพันธ์ ด้าน “วีระชัย” เผยได้แรงหนุนจากทุกภาคส่วนในการต่อสู้คดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่ารายการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์พบประชาชน” เช้าวันนี้ (20 เม.ย.) น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี งดจัดรายการโดยให้นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ นายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในฐานะหัวหน้าทีมทนายฝ่ายไทยในการสู้คดีกัมพูชายื่นต่อศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหารเมี่อปี 2505 โฟนอินเข้ามาสรุปการให้ถ้อยแถลงของไทยต่อศาลโลก เพื่อให้ประชาชนเข้าใจอีกครั้งโดยมีนายจอม เพชรประดับ เป็นผู้ดำเนินรายการ
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ฟังทีมทนายของไทยให้ถ้อยแถลงต่อศาลโลก เราทำการบ้านมาอย่างดี การชี้แจงของเรายืนยันให้ศาลเห็นว่ากรณีกัมพูชามาให้ศาลตีความ ที่จริงไม่จำเป็นต้องตีความ เพราะจบสิ้นไป เมื่อปี 2505 แล้ว และไทยก็ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลเมื่อปี 2505 เราถอนทหารและตำรวจมาอยู่นอกแนวรั้ว เป็นไปตามมติ ครม.ของไทย เมื่อปี 2505
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่หลายฝ่ายมองว่ารัฐบาลนี้จะมาฮั้วกับทางกัมพูชา ยืนยันว่าการต่อสู้คดีทีมทนายต่อสู้เต็มที่และใช้ทีมทนายชุดเดิมที่รัฐบาลที่ผ่านมาตั้งขึ้น เพราะได้ศึกษาแนวทางการต่อสู้มาตลอด 3 ปี รอบรู้และชำนาญมาก ก็ใช้ทีมทนายชุดเดิม แต่หลายฝ่ายคิดว่าเราจะโยนความผิดให้รัฐบาลชุดที่แล้ว ก็ขอเรียนว่าเราไม่เอาเรื่องของประเทศชาติมาเป็นเกมการเมือง
ส่วนกรณีที่ผู้พิพากษาอับดุลคาวิ อะห์เม็ด ยูซูฟ ชาวโซมาเลีย ว่าที่ขอให้ไทยและกัมพูชาทำแผนที่ “บริเวณใกล้เคียง” หรือ vicinity ในการถอนทหารนั้น นายสุรพงษ์กล่าวว่า มีโอกาสพบผู้พิพากษายูซูฟแล้วทำให้ทราบว่าเป็นการขอส่วนตัวเพราะอยากที่จะเข้าใจทั้งหมด ซึ่งมีกำหนดที่ฝ่ายไทยและกัมพูชาจะต้องส่งในวันที่ 26 เมษายน ในเรื่องนี้เท่าที่สอบถาม ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ถ้าศาลไม่รับตีความ ทุกอย่างจะกลับไปเหมือนปี 2505 เท่าที่วันนี้ดูจากการต่อสู้ของทีมทนายตลอด 4 วัน ยืนยันต่อศาลชัดเจนว่าศาลไม่ควรรับตีความ เพราะเรื่องจบเมื่อปี 2505 ไทยปฏิบัติตามคำสั่งของศาลไปเรียบร้อยแล้ว ไม่มีเหตุผลใดๆ ที่ศาลจะตีความย้อนหลัง แต่กัมพูชาซ่อนประเด็นไว้ต้องการพื้นที่มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องใหม่
“วันนี้เราก็อยาก เห็นการเสมอตัวคือกลับไปอยู่แบบเดิม เราก็อยู่กับเขา พัฒนาพื้นที่พระวิหารร่วมกับพื้นที่ใกล้เคียง ถ้าเราชนะคดีนี้ศาลรับการสู้คดีครั้งนี้ กลับไปสู่ปี 2505”
นายสุรพงษ์กล่าวว่า ที่ผ่านมานายกฯ ยิ่งลักษณ์ และสมเด็จฯ ฮุนเซน นายกฯ กัมพูชา เคยพบและหารือกันหลายครั้งว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไรก็ยอมรับได้ และจะกลับมาเดินหน้าความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาเหมือนเดิม ไม่เอาเรื่องนี้มายุ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
นอกจากนี้ ในระหว่างช่วงที่รอคำตัดสินของศาล รัฐบาลก็จะให้ความรู้แก่พี่น้องประชาชนคนไทยเพื่อให้คนไทยเข้าใจ ถือหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศและทีมทนายที่ต้องช่วยกันศึกษาหาข้อสรุปเพื่อที่จะเข้าใจตรงกัน ก็ขอให้พี่น้องคนไทยใจเย็นรอฟังผลการตัดสินของศาล แต่ก็เชื่อว่าผลการตัดสินที่มีผู้พิพากษา 17 ท่านนั่งบนบัลลังก์น่าจะมีความยุติธรรม และผลการตัดสินก็น่าจะออกมาในทางที่จะทำให้เกิดความสงบอยู่ร่วมกันได้
ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงการดำเนินการดังกล่าวเพื่อแลกกับบางเรื่อง นายสุรพงษ์กล่าวว่า ไม่ควรนำการเมืองมายุ่งกับเรื่องต่างประเทศ เช่น กรณีพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลพยายามกล่าวหาว่าฮั้วกัน ทั้งที่พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลมีทรัพยากรที่เราต้องเตรียมไว้ในอนาคต ทั้งก๊าซ และน้ำมัน เราต้องการพลังไฟฟ้า พลังงานสำรอง ถ้ามัวแต่มากล่าวหากันและไม่มีการเริ่มเลย คิดว่าคนไทยรุ่นลูกรุ่นหลานจะเสียโอกาส รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะพิสูจน์ให้สังคมไทยได้เห็นว่าเราทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติเป็นหลัก
ด้านนายวีรชัย พลาศรัย ยืนยันว่า การทำงานในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนดีจากทุกภาคส่วน จึงอยากให้ถือว่าการต่อสู้คดีในครั้งนี้เป็นการร่วมมือร่วมใจกันของทุกฝ่ายและขอให้ประชาชนศึกษารายละเอียดและทำความเข้าใจจากเว็บไซต์ของกระทรวงการต่างประเทศและศาลโลก เพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้นเมื่อมีผลการตัดสินออกมาในช่วงปลายปี