ผ่าประเด็นร้อน
จะเรียกว่าแรงอาฆาตพยายาทสูงยิ่ง เพราะเชื่อว่าเป็นต้นตอในการขัดขวางไม่ให้ตัวเองได้กินรวบทุกอย่างในบ้านเมืองได้อย่างสะดวก และที่สำคัญทำให่้ตัวเองต้องระเห็จออกไปเป็น “สัมภเวสี” อยู่ข้างนอกนานหลายปีจนถึงบัดนี้ก็เป็นได้ ทำให้ คนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร ต้องมีอารมณ์หงุดหงิดและแสดงอาการออกมาอย่างที่เห็น
การสไกป์มาที่เวทีคนเสื้อแดงในวันครบรอบสามปีของการสูญเสียที่สี่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ซึ่งในความเป็นจริงไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่สูญเสีย แต่รับรองว่าไม่ใช่ ทักษิณ ชินวัตรและคนในครอบครัวของเขาแน่นอน เพราะมีแต่ยุยงสี่งการอยู่ข้างนอกให้คนอื่นไปตายแทน ส่วนบ้านเมืองพังพินาศฉิบหาย แตกแยกอย่างไรไม่ต้องไปสนใจ
ความหมายของ ทักษิณ ที่ส่งสัญญาณล่าสุดเป้าหมายยังไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือยังมุ่งไปที่องค์กรอิสระที่ยังไม่อาจครอบงำได้ แต่นาทีนี้ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้า แน่นอนว่าต้องเป็นศาลรัฐธรรมนูญเจ้าเก่าอยู่แล้ว เพราะกำลังอยู่ในช่วงของกาาลุ้นแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ดังนั้นมันช่วยไม่ได้ที่พอได้จังหวะก็ต้องถล่มฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ยอมให้ “ซื้อ” ในที่นี้ก็หมายถึงองค์กรอิสระอย่างศาลรัฐธรรมนูญนี่แหละ
นอกเหนือจากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา ที่นำโดย สมชาย แสวงการ ที่ให้ตีความเกี่ยวกับการแก้ไขมาตรา 68 เป็นการตัดอำนาจของประชาชนในการพิทักษ์รัฐธรรมนูญของภาคประชาชนเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แม้ว่าจะไม่มีการคุ้มครองชั่วคราว แต่การรับเรื่องไว้พิจารณา และให้แต่ละฝ่ายเข่าชี้แจงภายในเวลา 15 วันมันก็บีบคั้นหัวใจแม้ว อีกรอบ และหากดูเผินๆ มันก็มองออกได้ไม่ยากว่าการแก้ไขมาตราดังกล่าวเป็นการปิดทางชาวบ้านจริงๆ
มีความเป็นไปได้สูงที่ศาลรัฐธรรมนูญจะชี้ออกมาในแบบว่าขัดรัฐธรรมนูญก็เป็นไปได้ไม่น้อย แต่ผลกระทบต่อเนื่องที่ตามมานี่สิมันใหญ่หลวง นั่นหมายความว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ที่ยังคาวาระ 3 ในสภาเพื่อนำไปสู่การยกร่างใหม่ทั้งฉบับเดินหน้าต่อไปไม่ได้ เพราะถ้าจะสั่งให้โหวตก็ต้องเจอร้องศาลรัฐธรรมนญอีก ดังนั้นสิ่งที่หวังเอาไว้ก็คือต้องตัดทางไม่ให้ร้องโดยตรงต้องยื่นผ่านอัยการสูงสุดทางเดียวเท่านั้น นี่แหละจึงเป็นที่มาของ “แผนบันได 3 ขั้น” ไงล่ะ แต่เมื่อศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องมันก็ย่อมปั่นป่วนอีกรอบ
ขณะเดียวกัน อย่าได้แปลกใจที่ล่าสุด ประธานรัฐสภา สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ก็ต้องถอยกรูด ต้องสั่งเรียกประชุมรัฐสภาอีกรอบ เพื่อลงมติเกี่ยวกับการกำหนดวันแปรญัตติกันใหม่ว่าจะเป็น 15 วันหรือ 60 วันตามที่ฝ่ายค้านเสนอในวันที่ 18 เมษายน ก่อนปิดสมัยประชุมสภานิติบัญญัติวันที่ 20 เมษายน หากพิจารณาแล้วล้วนแล้วมาจากสาเหตุความกลัวว่าจะถูกถอดถอน และที่สำคัญที่สุดก็คือเกรงว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราทั้ง 3 ฉบับ จะตกไปด้วย เพราะถูกร้องเรื่องการทำผิดข้อบังคัญในเรื่ององค์ประชุมไม่ครบนั่นเอง
นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่ต้องพิจารณากันก็คือ คำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เกี้ยวกราดใส่ “คนจิตวิปริต” เชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์สลายการจลาจลของคนเสื้อแดงเมื่อ 3 ปีก่อนว่ามีสาเหตุมาจาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นต้องการสนองตัญหาของคนจิตวิปริต ดังกล่าว ซึ่งแน่นอนว่างานนี้คงเอ่ยถึงตรงไม่ได้ แต่รับรองว่าคนในวงการ และคนเสื้อแดงที่ถูกปลุกระดมฝังหัวมานานย่อมรู้ดีว่าหมายถึงใคร น่าจะคนเดียวกับที่ส่งลูกน้องไปด่าถึงหน้าบ้านนั่นแหละ แต่ในความจริงมันก็ทำให้คนอย่าง ทักษิณ ทำอะไรไม่สะดวกจริงๆ มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องเกิดแรงอาฆาตหนักข้อได้ถึงขนาดนั้น
แต่ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งภาพทางการเมืองกลับเดินไปอย่างชื่นมื่นมากขึ้น เหมือนกับเกิดภาพการเมืองระหว่างสองขั้ว ระหว่างงานเลี้ยงครบวันสถาปนากองทัพอากาศ เมื่อเราได้เห็นภาพการเดินควงคู่ ระหว่าง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กับนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในบรรยากาศอบอุ่นชื่นมื่น โดยมี “ลกป๋า” อย่าง กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินตามหลังในชุดพระราชทานอย่างมีความหมาย มันก็ได้เห็นสัญลักษณ์การเมืองไปอีกแบบ
ถัดมาเมื่อวันที่ 11 เมษายน “ป๋าเปรม”ก็ได้เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ ให้ผู้นำเหล่าทัพเข้ารดน้ำขอพรในวันสงกรานต์วันปีใหม่ไทย นำโดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต บรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่นเช่นเดียวกัน ซึ่งถือว่าบรรยากาศแบบนี้มีน้อยครั้งที่จะได้เห็น อาจเป็นเพราะระยะหลังความเป็นพี่เป็นน้องในกองทัพและเวลารวมไปถึงการรักษาสถานะเพื่อความอยู่รอดของตัวเองทำให้เกิดความกลมกลืนได้มากกว่าเดิมก็เป็นได้
ดังนั้น ถ้าพิจารณาจากภาพที่เห็นอาจจะไม่ใช่คำตอบทั้งหมด แต่อย่างน้อยมันก็พอมองเห็นสัญญาณบางอย่างในขั้วอำนาจที่เริ่มจูนกันได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระดับตัวแทนที่ต้องการประคองตัวไปให้นานที่สุด ขณะที่ ทักษิณ ชินวัตร เท่าที่เห็นเหมือนกับมีอาการฟาดงวงฟาดงา และคนที่จะกลายเป็นจิตวิปริต ในที่สุดแล้วไม่ใช่ใครที่ไหน แต่น่าจะกลายเป็นเขาเองนั่นแหละ ที่บ้าคลั่งว่้าวุ่นอยู่คนเดียว!