ผบ.ทบ.สอบแล้วบึ้มรถรองผู้ว่าฯ มีไส้ศึกหรือไม่ อย่าเพิ่งลงความเห็น ชี้เป็นบทเรียน ต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ พร้อมเข้มความลับ แต่รับยากสู้กับพวกไม่เปิดเผยตัว โทษสื่อโยงไปเองเกี่ยวเจรจาบีอาร์เอ็น แต่ก็ไม่รู้ไปคุยจะได้ผลหรือไม่ อย่าให้ความสำคัญ ยันรัฐยังไม่เสียเปรียบ เชื่ออุ้มฆ่านาวิก เหตุไม่พอใจคาบข่าวแจ้ง จนท.สังหารพวก
วันนี้ (7 เม.ย.) ที่กองบินขนส่งทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่ามีคนในเป็นหนอนบ่อนไส้ให้ผู้ก่อการร้ายลอบวางระเบิดขบวนรถรองผู้ว่าฯ จ.ยะลา จนเสียชีวิตว่า ตนกำลังตรวจสอบอยู่ว่าเกิดจากสาเหตุใด มีเหตุผลที่ส่อไปว่ามีไส้ศึกหรือไม่ อย่างไรก็ตามถือเป็นการพิสูจน์ความไว้วางใจเวลาที่จะบรรจุคนเขารับราชการ ตั้งแต่ทหาร อาสาสมัคร ทหารพราน ต้องมีการตรวจสอบความไว้วางใจ รวมถึงประวัติการรักษาความปลอดภัยให้เรียบร้อย ตนได้ย้ำเตือนอยู่เสมอ อย่าพึ่งไปลงความเห็นว่าใช่หรือไม่ แต่ก็กำลังตรวจสอบอยู่ ทั้งนี้ ตนมีความห่วงใยคนที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ ้เพราะลูกน้องต้องสัญจรไปมาทุกวัน และหากมีบ้านพักอยู่ในพื้นที่อันตรายก็มีความเสี่ยงเป็นสองเท่า จึงต้องมีความระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะที่บ้านของเขาไม่มีการป้องกันดูแลความปลอดภัย โจรก็มาเล่นงานนั้นคือสิ่งที่น่ากังวล
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นบทเรียน ว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีก เพราะที่ผ่านมาก็เกิดขึ้นมาหลายครั้งแล้ว สิ่งสำคัญต้องเห็นใจเจ้าหน้าที่ เพราะไม่สามารถหลบหนีไปไหนได้ เพราะต้องอยู่ในพื้นที่ การทำงานก็ถอยห่างจากประชาชนไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องระวัง คือเรื่องความปลอดภัย มาตรการรักษาความลับ การจัดกำลังป้องกัน รวมถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการเคลื่อนย้าย เพราะเท่าที่ผ่านมามีคนมาแจ้งเหตุร้าย เจ้าหน้าที่ก็เข้าไปด้วยความห่วงใย ก็ถูกระเบิดและโดนซุ่มยิง ถือเป็นเรื่องยากที่ต้องต่อสู้กับคนที่ไม่เปิดเผยตัวตน แต่ก็พอใจที่เราสามารถป้องกันได้ในระดับหนึ่ง เพราะไม่ได้เกิดเหตุการณ์ทุกพื้นที่ทั้งหมดในเวลาอันเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นมาตรการต่อไป ว่าต้องเฝ้าระวังป้องกันอย่างไร
“ครั้งนี้เป็นข้าราชการระดับสูง แต่ทุกคนชีวิตมีค่าเท่ากัน ผมไม่อยากให้ไปมองว่าคนระดับรองผู้ว่าฯ ถูกทำร้ายเพราะทุกคนมีโอกาสถูกทำร้ายหมด อาจจะเป็นตำรวจ ทหาร หรือผมก็อาจจะโดน ขึ้นอยู่กับจังหวะและช่องว่างซึ่งทุกคนต้องระวังตัวเอง” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีที่มีการมองว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นเชื่่อมโยงกับกลุ่มบีอาร์เอ็นนั้น เพราะสื่อเอาไปเชื่อมโยงกันเอง การดำเนินการดังกล่าวต้องทำกันไปคู่ขนานกัน เจ้าหน้าที่ก็รักษาความปลอดภัยไป คนที่พูดคุยก็พูดคุยกันไป เพื่อไปหาทางเพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยส่วนจะเกิดหรือไม่ ยังไม่รู้ และยังไม่รู้ว่าการไปพูดคุยกับคนพวกนี้จะได้ผลหรือไม่ แต่ถือว่าเป็นการช่องทางการพูดคุยเท่านั้น ถ้าได้ก็ดี แต่ตนไม่อยากให้เครติด เป็นผู้มีอำนาจสั่งการหรือไม่ ตนไม่ให้ความสนใจตรงนั้น และไม่ให้ค่าด้วย ตนให้ค่าแต่เพียงว่าใครก็ได้ที่คุยแล้วทำให้สถานการณ์เบาบางลง
“อย่าไปให้เครดิตว่าต้องเป็นคนนั้นคนนี้ หรือผู้มีอำนาจ เพราะเราเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะฉะนั้นการทำงานมีสองอย่าง การบังคับใช้กฎหมาย และมาตรการสันติ อย่าไปให้ความสนใจและยกระดับคนพวกนี้ขึ้นมาเพราะเป็นผู้ร้าย แต่เราก็ให้เกยีรติเขามานั่งพูดคุยกันในเวทีอื่นที่ไม่ใช่บ้านเรา ส่วนที่มีการมองกันว่าหลังจากพูดคุยกันแล้ว เหตุการณ์มีความรุนแรงมากขึ้น อยากถามว่าตรงไหนที่มากขึ้น ซึ่งเหตุการณ์มันมีทุกวันมีตลอด ตราบใดที่คนพวกนี้ยังมีอยู่ยังไม่ถูกดำเนินคดี และยังไม่ได้นำไปสู่ความต้องการของเขา มันก็ยังไม่เลิกจะเลิกได้อย่างไรเพราะมันเป็นความขัดแย้งในเรื่องความคิดที่ยังไม่ตรงกันอยู่ ต้องไปจูนคลื่นกันให้ติดจึงนำไปสู่ความสงบสุขและการหยุดยิงถาวร ผมไม่อยากให้เอาเรื่องนี้ไปเป็นหลักเพราะมันชักไปกันใหญ่แล้ว อย่าไปให้ความสำคัญจะพูดคุยกันไป กองทัพภาค 4 ส่วนหน้าก็มีนโยบายในการพุดคุยมาตลอดโดยผ่านชาวบ้านก็ไม่เห็นมีเรื่อง เพียงแต่ว่าการพูดคุยครั้งนี้อยู่ในระดับ สมช.ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แทนของรัฐบาล อย่าไปให้เครติดมากนักเพราะจะเสียหายต่อประเทศเรา กำลังพลก็ขวัญเสีย ซึ่งผมได้ย้ำไปหลายครั้งว่ายิ่งพูดคุย ผมยิ่งเข้มงวดเรื่องมาตรการ เรื่องการบังคับใช้กฎหมายให้เด็ดขาดมากขึ้น และให้มองว่าถ้าเขาไม่เสียเปรียบและเขาจะมาพูดคุยกับเราทำไม ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่เสียเปรียบ อย่าไปเร่งรัดกันนัก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
เมื่อถามว่า มีความคืบหน้ากรณีที่นาวิกโยธินถูกอุ้มไปสังหารหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เป็นกลุ่มเดิมที่ได้รับผลกระทบจาก 16 ศพ มีความแค้นเคืองและไม่พอใจว่านาวิกโยธิน คนดังกล่าวอาจจะนำข่าวมาบอกกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งต้องเข้าใจว่าคนทำงานในภาคใต้คือคนในพื้นที่ทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน และ อส.ซึ่งคนพวกนี้เสี่ยงเพราะถูกจับตามองว่าเป็นผู้ให้ข่าว ถ้าให้เขาต้องแก้แค้นต้องระมัดระวังต้องย้ำเตือนกำลังพลให้ระวังตัวเวลากลับบ้าน ถ้าไม่จำเป็นไปพักที่อื่นไม่ใบ่บ้าน ซึ่งทาง ผบ.ทร.และ ผบ.นย.ก็รับทราบเรื่องนี้แล้วและได้กำชับไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนขอบอกไว้เลยว่าเหตุการณ์ต่างๆ ยังไม่ยุติตราบใดที่ยังไม่มีคนมารับผิดชอบ และเขายังไม่บรรลุข้อตกลงหรือสิ่งที่ต้องการ อะไรยังไม่เจรจายังไม่ถึงไหนจะให้มาจบวันนี้พรุ่งนี้ไม่ได้ เขารบกันมาเป็น 100 ปีแล้วอย่ามากดดันกัน หากทุกคนมากดดัน และคาดหวังว่ามีการเจรจาปุ๊ปแล้วจะต้องเลิกทางเจ้าหน้าที่ก็ลำบากใจ ปล่อยเขาไปจะไปคุยก็ให้ไปคุยกันนอกดินแดนไทย การเจรจาก็เป็นอีกทางหนึ่งแสดงว่ารัฐบาลใช้วิธีการสันติและเป็นการบังคับใช้กฎหมายของฝ่ายความมั่นคง ต่อไปก็เป็นการสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่ดูแลคุณภาพชีวิต สิ่งเหล่านี้เป็นภาพใหญ่ทั้งหมด อย่าไปวิเคราะห์อะไรในสิ่งที่ตนเองไม่มีพื้นฐาน สำหรับการเจรจายังไม่กรอบกำหนเเวลาว่าเท่าไหร่ อาจจะต้องใช้เวลาปีถึงสองปี อาจจะมีแนวโน้มดีหรือไม่ดี แต่นี่ยังไม่ถึงสองเดือนจะให้ข้อสรุปได้อย่างไร
เมื่อถามว่า มีการคาดหวังต่อการเจรจาครั้งนี้อย่างไรจะสำเร็จหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอย่างหัวเสียว่า ตนพูดหลายครั้งแล้วว่าอย่าพึ่งไปหวังว่าอะไรเพราะลูกน้องตนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในพื้นที่ทุกวัน ใครจะน่าห่วงใยมากกว่ากัน มาวิจารณ์ว่าตนส่งลูกน้องลงไปตาย ตนไม่ห่วงลูกน้องหรือไร ถ้าพูดแบบนี้อย่าพูดดีกว่า อย่ามาวิเคราะห์อะไร
เมื่อถามว่า จะมีการเข้มงวดเรื่องความปลอดภัยมากขึ้นหรือไม่ ผบ.ทบ.กล่าวว่า ไปไหว้พระมากขึ้น พกพระมากขึ้น ให้ดูแลลระมัดระวังตัวเองมากขึ้น ตนได้บอกทุกอย่างทำทุกอย่างแล้ว ตนเคยบอกแล้วว่าโจรอยู่ในที่มืด อย่ามาบอกว่าตนอารมณ์เสียอีก อธิบายไปหมดแล้ว ส่วนล่วงหน้า เครื่องระวังป้องกัน เครื่องตัดสัญญาน หน่วยระวังป้องกัน เครื่องตัดสัญญาณมือถือ รถเกราะ แล้วจะให้ทำอะไรอีก บอกหน่อย ทำมาทุกมาตรการแล้ว แต่ไม่ต้องมาบอก คนไม่มีพื้นฐานเลยมาเขียนข่าวด้านมั่นคง ได้อย่างไร ตนคิดเป็นร้อยอย่าง ทำไปแล้วอาจจะยังไม่ครบ ตรงไหนมีบกพร่องก็ต้องทำต่อไป