“ภูมิใจไทย” ค้านแก้มาตรา 68 ชี้ขัด รธน.จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน เชื่อทำจริงมีคนร้องศาล รธน.คัดค้านแน่ ติงเนื้อหานิรโทษฯ ไม่แตกต่าง พ.ร.บ.ปรองดอง แนะรบ.ถอนออกด่วนก่อนอายุสั้น จี้ กกต.ฟ้อง “เกษม” เรียกค่าเสียหาย 10 ล้าน ฐานจงใจลาออกเปิดช่องให้คนอื่นสมัครแทน ยกคดีเทียบเคียงศาล รธน.ฟัน ส.ส.ถือหุ้นบริษัทเอกชนพ้นตำแหน่งยังถูกไล่เช็กบิลกว่า 12 ล้าน หากไม่ทำเล็งฟ้อง 157
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 19 มี.ค. ที่พรรคภูมิใจไทย นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.นครราชสีมา และรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีรัฐบาลพร้อมจับมือ ส.ว.สายเลือกตั้งแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราว่า พรรคภูมิใจไทยเห็นด้วยหากแก้รัฐธรรมนูญแล้วประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์และไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่ใคร สำหรับมาตราที่จะแก้ไขคือ มาตรา 68 ตนไม่เห็นด้วยเพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วางหลักสิทธิเสรีภาพให้ประชาชนสามารถมาร้องศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรงเป็นสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว หากมาตัดสิทธิตรงนี้ โดยเวลาฟ้องต้องการผ่านสำนักการอัยการสูงสุด หรือ ออส.ก่อน ถือว่าเป็นการจำกัดสิทธิ์ของประชาชน และตนเชื่อว่าหากมีการแก้มาตรา 68 จริงจะต้องมีผู้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดรัฐธรรมนูญ 50 แน่นอน
ส่วนมาตรา 237 ก็ต้องการให้คงสภาพเหมือนเดิม คือ ให้มีการยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 5 ปี แต่อาจแก้ไขว่าหากจะตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคจะต้องมีส่วนรู้เห็นด้วยเท่านั้น มิใช่เหมารวมโดยใช้รูปแบบการตีความเช่นเดียวกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 สำหรับมาตรา 190 ไม่ต้องแก้ไข แต่ให้ไปออกกฎหมายลูกมาแทน ขณะที่เรื่องการยกเลิกการเว้นวรรค ส.ว.เลือกตั้งนั้น ตนเห็นว่าสามารถทำได้ แต่อยากจะแก้ไขให้ ส.ว.มาจากเลือกตั้งทั้งหมดไม่ต้องมี ส.ว.สรรหาแล้ว
นายบุญจงกล่าวต่อว่า ไม่เห็นด้วยหากจะมีการเลื่อนการพิจารณา พ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่นายวรชัย เหมะ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยเป็นผู้ยื่น เพราะมีเนื้อหาเช่นเดียวกับ พ.ร.บ.ปรองดองที่อยู่ในวาระสภา 4 ฉบับ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อ และระยะเวลาการครอบคลุมผู้ที่ได้รับการนิรโทษกรรมเท่านั้น และเชื่อว่าหากกฎหมายดังกล่าวเข้ามาจริงก็จะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายทั้งในและนอกสภาฯไม่ต่างจากเหตุการณ์พิจารณากฎหมายปรองดองปีที่แล้ว ทั้งนี้ หากรัฐบาลไม่อยากอายุสั้นและมีความจริงใจก็ควรไปบอกนายวรชัยให้ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกไป
นายบุญจงกล่าวว่า ที่ประชุมยังวิพากษ์วิจารณ์กรณีนายเกษมลาออกว่าไม่มีความเหมาะสม และดูถูกประชาชนรวมทั้งยังทำให้เสียเงินภาษีประมาณ 10 ล้านบาท ที่จะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่เพื่อที่จะให้บุคคลมาลงรับสมัครแทน หลังพรรคเพื่อไทยมีความเชื่อว่า ป.ป.ช.จะตัดสินให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ พ้นตำแหน่งในกรณีไม่แจ้งบัญชีทรัพสินย์ต่อ ป.ป.ช. ทั้งนี้ตนเห็นว่าการกระทำนายเกษมถือมีความจงใจลาออกเพื่อเปิดทางให้คนอื่นสมัคร และทำให้เกิดความเสียหาย จึงเสนอให้ กกต.ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายเกษม แม้ไม่มีกฎหมายเปิดช่องก็ตาม แต่สามารถกระทำได้ เช่นเดียวกรณีที่ กกต.เคยฟ้อง ส.ส.หลายคน รวมทั้งตนมูลค่า 12 ล้านบาท และเรื่องขณะนี้อยู่ในศาลฎีกา กำลังตัดสิน เพื่อชดใช้ค่าเลือกตั้ง ภายหลังที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินให้พ้นสภาพเพราะมีหุ้นอยู่ในบริษัทเอกชน ทั้งนี้ หาก กกต.ไม่ฟ้องนายเกษม ตนก็จะฟ้อง กกต.ผิดมาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่
