ประชาธิปัตย์ถามกระทู้สดสงสัย “สุกำพล” พบ “เตีย บัญ” บนพระวิหารส่อซ้ำรอยสมัยกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ถามเปลี่ยนสถานที่พบตามสั่ง “แม้ว” หรือไม่ เจ้าตัวแจง ลั่นไม่มีผลต่อคดี ยันไม่มีใครท้วง แจ้งทีมสู้แล้ว ยันโทรนัดเขมรเองด้วย อ้างคุยเรื่องยุทธศาสตร์ชายแดน แก้ไม้พะยูง เผยตกลงให้ชาวบ้านอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน
วันนี้ (14 มี.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กระทู้ถามสดเรื่องการพบกันระหว่าง รมว.กลาโหมของไทยและกัมพูชา โดย กล่าวว่า มีข้อสงสัยว่าการที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ขึ้นไปพบกับ พล.อ.เตีย บัญ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกัมพูชา ตามคำเชิญของกัมพูชา จะเป็นการเพลี่ยงพล้ำเหมือนในอดีต สมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ขึ้นไปโดยธงชาติฝรั่งเศสปักอยู่บนนั้น และฝ่ายไทยก็ไม่ได้โต้แย้งประเด็นนี้ จึงถูกกฎหมายปิดปากของศาลโลกบังคับว่าเรายอมรับในอธิปไตยของฝรั่งเศส เท่าที่ตนดูรูปภาพเทียบเคียงอดีตกับปัจจุบัน พบว่าพื้นที่ที่ พล.อ.อ.สุกำพล ถ่ายรูปร่วมกับ พล.อ.เตีย บัญ เป็นจุดที่ใกล้เคียงกับที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเคยไป จึงกังวลใจเพราะศาลโลกจะตัดสินคดีปราสาทพระวิหารในปีนี้ จึงอยากทราบว่าไปโดยคำเชิญใคร ไปเจอกันตรงไหนอย่างไร เพราะเป็นสาระสำคัญที่อาจทำให้ศาลโลกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาได้
นายอรรถวิชช์กล่าวต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศเองก็มีข้อห่วงใย เพราะก่อนหน้านี้มีการจัดเตรียมความพร้อมที่จะเจอกันที่ โรงแรมสุรินทร์มาเจสติก แต่ทำไมมาเปลี่ยนสถานที่ภายหลัง และมีข่าวว่ากองทัพเองก็ไม่เห็นด้วย โดยตนยังมีข้อสังเกตว่าก่อนที่ พล.อ.อ.สุกำพลจะไปพบกับพล.อ.เตีย บัญเกิดขึ้นภายหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางออกจากกัมพูชาไปฮ่องกง การเปลี่ยนสถานที่เป็นเพราะทำตามคำแนะนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ และอยากถามว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวหรือประเทศชาติ ก่อนหน้านี้ทหารไทยกับกัมพูชาได้ปะทะกัน ทำให้ทหารไทยเสียชีวิตกว่า 10 นาย เพื่อรักษามาตุภูมิ และรักษาท่าทีของฝ่ายไทยที่จะขึ้นศาลโลก การที่ พล.อ.อ.สุกำพล ขึ้นไปถ่ายรูปก็สุ่มเสี่ยงจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก จึงขอร้องว่าอย่าทำแบบนี้อีก เพราะอาจส่งผลต่อการพิจารณาของศาลโลกได้
พล.อ.อ.สุกำพลชี้แจงว่า การไปครั้งนี้ไม่มีการเชิญมา ตนในฐานะประธานคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (เจบีซี) ต้องการไปตรวจเยี่ยมทหารด้วย บริเวณที่ไปพบกันคือตัวปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นเขตแดนกัมพูชา จึงไม่มีผลอะไรต่อคดี กระทรวงการต่างประเทศไม่ได้จองโรงแรมสุรินทร์มาเจสติกไว้ การติดต่อประสานงานเป็นเรื่องของกระทรวงกลาโหม โดยกรมกิจการชายแดนทหาร กระทรวงการต่างประเทศเพียงแค่ส่งเจ้าหน้าที่ร่วมคณะ และไม่ได้มีข้อทักท้วงใดๆ และภายหลังก็ได้รายงานเรื่องดังกล่าวต่อนายวีระชัย พลาดิศัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์ ในฐานะหัวหน้าต่อสู้คดีปราสาทพระวิหาร ตนยืนยันว่าการไปพบปะถ่ายรูปร่วมกันครั้งนี้ ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดีของศาลโลก และตนเป็นคนโทร.นัด พล.อ.เตียเอง โดยระบุสถานที่ขอเจอกันบนปราสาทพระวิหาร
“การคุยกันครั้งนี้ผมคิดเอง เพราะเป็นเรื่องหมูๆ ไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และไม่ได้พบกัน 2 คน คุยกันเป็นสิบ ผมไปคุยเรื่องยุทธศาสตร์ชายแดนให้มั่นคงและมั่งคั่ง รวมถึงการเข้มงวดเรื่องไม้พะยูง การแก้ไขปัญหาชายแดนแบบฉันมิตร ร่วมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งของศาลโลกเรื่องมาตรการคุ้มครองหลังจากที่ทหารไทยและกัมพูชาเคยปะทะกัน ยืนยันว่าทั้งสองประเทศจะตกลงกันได้ และชาวบ้านของทั้งสองประเทศ ที่ประกอบอาชีพอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน ก็ยืนยันว่าจะไม่มีการโยกย้ายออกนอกพื้นที่” พล.อ.อ.สุกำพลกล่าว