ผ่าประเด็นร้อน
ใครจะนึกว่ารัฐบาลมาเลเซียโดย “นาจิบ ราซัค” ที่กำลังใช้สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนใต้เก็บเกี่ยวแต้มต่อทางการเมืองเพื่อรองรับการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังมาถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่กลายเป็นว่าเวลานี้ทุกอย่างกำลังพลิกกลับแบบหักมุมกะทันหันตั้งตัวไม่ทัน เพราะเหตุการณ์ปะทะกันที่รัฐซาบาห์ ซึ่งแม้ว่าฝ่ายรัฐบาลมาเลเซียทุ่มกำลังเข้าปราบปรามขั้นเด็ดขาดทั้งด้วยการโจมตีด้วยเครื่องบินรบทางอากาศและใช้ทหารราบเข้าปูพรมเข้าเคลียร์พื้นที่เต็มพิกัด แต่ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ทำให้สถานการณ์ยืดเยื้อนานเกือบเดือนแล้ว
แน่นอนว่าหากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ต่อไป และยิ่งนานเท่าใด ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงความไร้ประสิทธิภาพของฝ่ายรัฐบาล ส่งผลสะเทือนมาถึงพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลปกครองมาเลเซียมานานหลายสิบปี และที่สำคัญมีความเสี่ยงสูงที่ นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันอาจจะพ่ายแพ้การเลือกตั้งต่อพรรคร่วมฝ่ายค้านที่นำโดย อันวาร์ อิบราฮิม เป็นไปได้สูงยิ่ง
นักวิเคราะห์ประเมินว่าแค่สถานการณ์ปกติในปัจจุบันก็ถือว่ามีความสูสี และมีโอกาสพ่ายแพ้ได้ไม่น้อย แต่เมื่อมาเจอกับกรณีนักรบสุลต่านซูลู มันก็ยิ่งไปกันใหญ่ สถานการณ์พลิกกลับแบบตาลปัตร มีแนวโน้มทิ้งห่างไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ดี เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์มากขึ้นก็ต้องอธิบายให้เข้าใจพอสังเขปว่า กลุ่มนักรบดังกล่าวอ้างว่าเป็นคนในสังกัดของทายาทสุลต่านซูลู ที่เคยมีอำนาจปกครองในพื้นที่ตั้งแต่ภาคใต้ของฟิลิปปินส์ และครอบคลุมมาถึงรัฐซาบาห์มาตั้งแต่ก่อนยุคอาณานิคม โดยพวกเขายกกำลังติดอาวุธที่คาดกว่ามีไม่ต่ำกว่า 180 คน ยกพลขึ้นบกที่รัฐซาบาห์ดังกล่าว อ้างว่าเพื่อมาทวงคืนดินแดนของบรรพบุรุษ และยังครอบครองพื้นที่นานเกือบเดือนแล้ว ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลมาเลเซียก็ได้ส่งกำลังทหารเข้าปราบปรามเต็มพิกัด แต่ก็ยังล้มเหลวไม่อาจผลักดันออกไปได้ มิหนำซ้ำยังมีข่าวว่ากลุ่มนักรบอิสลามทางใต้ของฟิลิปปินส์ได้ส่งกำลังนับพันคนเข้ามาเสริมอย่างลับๆ แล้วทำให้เชื่อว่าสถานการณ์ยุ่งยากขึ้นไปอีก
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแน่นอนว่ายอมส่งผลเสียทางการเมืองอย่างใหญ่หลวง กลายเป็นว่ารัฐบาลอ่อนแอไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถจัดการกับกองกำลังนอกกฎหมายได้เลย อีกทั้งการที่นักรบดังกล่าวสามารถยกพลข้ามน้ำข้ามทะเลมาขึ้นบกที่รัฐซาบาห์อย่างง่ายดาย นั่นก็แสดงว่าการรักษาความมั่นคงของรัฐล้มเหลว
และแม้ว่านาทีนี้หากรัฐบาลมาเลเซียสามารถปราบปรามผลักกันออกไปได้สำเร็จ แต่ถ้ายังต้องใช้เวลานานนับเดือนมันก็ “ย่อยยับป่นปี้” ทางการเมืองในตัวของตัวเองอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน หากยังจำกันเมื่อไม่กี่วันก่อน นาจิบ ราซัค ยังทำตัวเป็นพระเอกเมื่อทำตัว “เป็นขาใหญ่” เป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยนำรัฐบาลไทยของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาลงนามสันติภาพกับตัวแทนของกลุ่มก่อการร้ายบีอาร์เอ็น เพื่อสร้างภาพทางการเมืองหวังผลทางการเมืองในการเลือกตั้งที่กำลังมาถึง ขณะเดียวกันฝ่ายรัฐบาลไทยของยิ่งลักษณ์ก็หวังจะได้หน้าได้ตาตามไปด้วย
นอกเหนือไปจากนี้ จากปากคำของนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัคของมาเลเซีย ยังบอกว่ามี ทักษิณ ชินวัตร คนที่เกี่ยวข้องความรุนแรงในเหตุการณ์ตากใบและมัสยิดกรือเซะในอดีตซึ่งเป็นเชื้อไฟสำหรับปัญหาชายแดนใต้ที่ลุกลามมาจนถึงวันนี้
หากกล่าวเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร แน่นอนว่าเขาก็ต้องการสร้างภาพให้เกิดความสำเร็จในการ “ดับไฟใต้” เพื่อ “จงใจ” ทำให้เห็นว่าเขาอยู่เบื้องหลังในเหตุการณ์ “ปาหี่” ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อหลายวันก่อน อีกทั้งยังหวังว่าอานิสงส์ในครั้งนี้จะส่งผลไปถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์อีกด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริงยังเกิดความรุนแรงที่เลวร้ายไม่เปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ถ้าให้สรุปสถานการณ์ในตอนนี้กลายเป็นว่าทุกอย่างกำลังพลิกกลับตาลปัตร สำหรับ นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีหลังจากที่เพิ่งกลายเป็น “พระเอก” แต่กำลังอยู่ในอาการโคม่าหลังจากเกิดเหตุการณ์นักรบของสุลต่านซูลูบุกรัฐซาบาห์ และใช้เวลานานเกือบเดือนก็ยังไม่อาจปราบปรามลงได้ ทำให้ฝ่ายค้านที่นำโดย อันวาร์ อิบราฮิม มีโอกาสชนะเลือกตั้งและโค่นเขาลงจากอำนาจ ขณะเดียวกันยังสะท้อนความเชื่อของบางคนที่ว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็นตัวซวยไปอยู่ที่ไหนพาฉิบหายที่นั่น
และเหตุการณ์หลายครั้งมันบังเอิญให้เห็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าจะเดินทางไปไหน เกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วมเกิดพายุกระหน่ำรุนแรง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียที่มีแนวโน้มพ่ายแพ้การเลือกตั้งก็ดันมี ทักษิณ คนเดียวกันนี่แหละเข้าไปเกี่ยวข้องอีกแล้ว
มันช่างบังเอิญอย่างร้ายกาจจริงๆ!!