“ส.ว.เจตน์” จี้ดูงบประชาสัมพันธ์งานประชุมภาคีอนุสัญญาไซเตส ควรตัดงบหรือไม่ หลังทำงานฉุกละหุก ล่าช้า ด้าน “ส.ว.ยุทธนา” ซัดประชาธิปัตย์พูดข้าวเน่าทำต่างชาติระแวง ยันเช็กโกดังแถวอีสานแล้วไม่มี จี้รัฐอย่าปกปิดข้อมูลจำนำข้าว
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. ในการประชุมวุฒิสภาที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 เป็นประธาน โดยก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ปัญหาการลักลอบค้าไม้พะยูงเป็นปัญหาของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามมาโดยตลอด เพราะแหล่งสำคัญในโลกเหลืออยู่ที่ไทย มาเลเซีย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยพื้นที่ไม้พยูงของไทยทั้งหมดจะอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติ และป่าสงวน แต่ที่ผ่านมาสถิติการลักลอบค้าไม้พะยูงก็เพิ่มขึ้นถึงปีละ 3 เท่า จนปัจจุบันเหลือไม้เพียง 80,000-100,000 ต้น จากเดิมเมื่อ 7 ปีก่อนมีถึง 300,000 ต้น แม้เราจะมีกฎหมายห้ามค้าไม้ในป่าสงวนตั้งแต่ปี 2532 การค้าระหว่างประเทศจึงเป็นสาเหตุสำคัญของการลักลอบค้าไม้พะยูง แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วย การค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ครั้งที่ 16 ในวันที่ 3-14 มี.ค. 56 ซึ่งไทยก็ได้เสนอให้นำไม้พะยูงขึ้นบัญชีสัตว์ป่าและพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธ์ในบัญชี 2 ของอนุสัญญาสหประชาชาติ เพื่อลดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการค้าไม้พะยูงส่งออกได้มาก เพียงแต่ว่าครั้งนี้เราใช้งบประมาณจัดงานมากเกินไปถึง 224 ล้านบาท และจัดงานฉุกละหุก เหลือเวลาก่อนเปิดการประชุมเพียง 5 วัน จึงยังไม่มีการประชาสัมพันธ์ตรงจุดนี้ เป็นปัญหาของกรมอุทยานฯ และรัฐบาลที่ทำงานล่าช้า ดังนั้นเมื่อไม่มีการประชาสัมพันธ์จะตัดงบประมาณประชาสัมพันธ์ออกหรือไม่ จึงอยากเรียกร้องให้ดูแลส่วนดังกล่าวด้วย
ด้าน พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ปัญหาคุณภาพข้าวในโกดังของรัฐบาล ซึ่งจากการที่คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ได้มีโอกาสหารือกับทูตต่างประเทศก็ได้รับความเห็นถึงปัญหาคุณภาพข้าวไทยจนเป็นเหตุให้หลายประเทศไม่สั่งซื้อข้าวไทย เกิดจากปัญหาที่ ส.ส.พูดในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่าข้าวเน่า ทำให้ต่างประเทศหวาดระแวง ทั้งที่ตนได้ไปตรวจสอบโกดังข้าวภาคอีสานก็ไม่พบความผิดปกติของคุณภาพข้าวแต่อย่างใด ตนเชื่อว่าถ้าเรายังปล่อยเรื่องนี้โดยไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเป็นการเฉพาะ จะทำลายภาพลักษณ์ข้าวไทยเป็นอย่างมาก รัฐบาลควรจะเร่งประชาสัมพันธ์ฟื้นฟูข้าวไทยกลับมาในสายตาโลก และพัฒนาคุณภาพข้าวไทยให้เป็นมาตรฐานเสมอ อีกอย่างรัฐบาลก็ไม่ควรปกปิดข้อมูลการรับจำนำข้าว ควรเปิดเผยข้อมูลไม่เช่นนั้นประเทศจะเสียหายมากกว่าเดิม
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. ในการประชุมวุฒิสภาที่มีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 เป็นประธาน โดยก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดโอกาสให้สมาชิกหารือ นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ปัญหาการลักลอบค้าไม้พะยูงเป็นปัญหาของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามมาโดยตลอด เพราะแหล่งสำคัญในโลกเหลืออยู่ที่ไทย มาเลเซีย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม โดยพื้นที่ไม้พยูงของไทยทั้งหมดจะอยู่บริเวณอุทยานแห่งชาติ และป่าสงวน แต่ที่ผ่านมาสถิติการลักลอบค้าไม้พะยูงก็เพิ่มขึ้นถึงปีละ 3 เท่า จนปัจจุบันเหลือไม้เพียง 80,000-100,000 ต้น จากเดิมเมื่อ 7 ปีก่อนมีถึง 300,000 ต้น แม้เราจะมีกฎหมายห้ามค้าไม้ในป่าสงวนตั้งแต่ปี 2532 การค้าระหว่างประเทศจึงเป็นสาเหตุสำคัญของการลักลอบค้าไม้พะยูง แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วย การค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ครั้งที่ 16 ในวันที่ 3-14 มี.ค. 56 ซึ่งไทยก็ได้เสนอให้นำไม้พะยูงขึ้นบัญชีสัตว์ป่าและพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธ์ในบัญชี 2 ของอนุสัญญาสหประชาชาติ เพื่อลดความเสี่ยงใกล้สูญพันธุ์อย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการค้าไม้พะยูงส่งออกได้มาก เพียงแต่ว่าครั้งนี้เราใช้งบประมาณจัดงานมากเกินไปถึง 224 ล้านบาท และจัดงานฉุกละหุก เหลือเวลาก่อนเปิดการประชุมเพียง 5 วัน จึงยังไม่มีการประชาสัมพันธ์ตรงจุดนี้ เป็นปัญหาของกรมอุทยานฯ และรัฐบาลที่ทำงานล่าช้า ดังนั้นเมื่อไม่มีการประชาสัมพันธ์จะตัดงบประมาณประชาสัมพันธ์ออกหรือไม่ จึงอยากเรียกร้องให้ดูแลส่วนดังกล่าวด้วย
ด้าน พล.ต.ท.ยุทธนา ไทยภักดี ส.ว.สรรหา กล่าวว่า ปัญหาคุณภาพข้าวในโกดังของรัฐบาล ซึ่งจากการที่คณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ได้มีโอกาสหารือกับทูตต่างประเทศก็ได้รับความเห็นถึงปัญหาคุณภาพข้าวไทยจนเป็นเหตุให้หลายประเทศไม่สั่งซื้อข้าวไทย เกิดจากปัญหาที่ ส.ส.พูดในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่าข้าวเน่า ทำให้ต่างประเทศหวาดระแวง ทั้งที่ตนได้ไปตรวจสอบโกดังข้าวภาคอีสานก็ไม่พบความผิดปกติของคุณภาพข้าวแต่อย่างใด ตนเชื่อว่าถ้าเรายังปล่อยเรื่องนี้โดยไม่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลเป็นการเฉพาะ จะทำลายภาพลักษณ์ข้าวไทยเป็นอย่างมาก รัฐบาลควรจะเร่งประชาสัมพันธ์ฟื้นฟูข้าวไทยกลับมาในสายตาโลก และพัฒนาคุณภาพข้าวไทยให้เป็นมาตรฐานเสมอ อีกอย่างรัฐบาลก็ไม่ควรปกปิดข้อมูลการรับจำนำข้าว ควรเปิดเผยข้อมูลไม่เช่นนั้นประเทศจะเสียหายมากกว่าเดิม
