เกาะกระแส
00 สถานการณ์ชายแดนใต้ยังคงดุเดือดขึ้นทุกวัน และหากพิจารณาจากศักยภาพของกลุ่มโจรแล้วนาทีนี้ถือว่ามีกองกำลังครบถ้วยแล้ว ทั้งติดอาวุธ ฝ่ายประกอบระเบิดและวางระเบิด และที่สำคัญมีศักยภาพสามารถก่อเหตุได้แทบทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นค่ายทหาร ซึ่งเหตุการณ์ที่บาเจาะ นราธิวาสเมื่อวันก่อนโชคดีที่ นาวิกโยธิน ได้ข่าวและตั้งรับได้ดี ไม่เช่นนั้นความเสียหายจะมากมายมหาศาล ถ้าคืนนั้นสำเร็จกลุ่มโจรก็จะฮึกเหิมหนักข้อ และเป็นไปได้ที่จะยกระดับการประกาศสงครามอย่างเด่นชัด แต่เมื่อสะดุดก็ต้องรอไปก่อน ตรงกันข้ามกับฝ่ายรัฐถ้าพิจารณากันในเขตรอบนอก ในเขตที่อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของฝ่ายทหารเป็นหลักหากมองในแง่ดีถือว่า “มีแนวโน้มดีขึ้น” นั่นคือ “การข่าว” ที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ
00 ชายแดนใต้ถ้าการข่าวดี มันก็เหมือนการจับโจรที่อื่น นั่นคือทำได้ง่ายขึ้น แต่ปัญหาก็คือเมื่อเจ้าหน้าที่ยังไม่ได้รับความไว้วางใจ ชาวบ้านก็จะไม่ให้ข่าว ดังนั้นทำอย่างไรที่จะให้เขาไว้ใจ แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ที่เคยมืดมิดมานานแล้ว มีทางเดียวก็ต้องพยายาม “เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา” อย่างจริงจัง และอดทนต่อไป และที่สำคัญก็คือการรีบทำความเข้าใจเพื่อ “สยบข่าวลือ” ที่บิดเบือนอย่างทันท่วงทีเหมือนอย่างที่ ผบ.หน่วยเฉพาะกิจนาวิกฯกองทัพเรือ ในพื้นที่นราธิวาส น.อ.สมเกียรติ ผลประยูร และ นท.ธรรมนูญ วรรณา ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 32 กำลังดำเนินการอยู่ เพราะนี่เป็นหัวใจของการสยบไม่ให้ปัญหาลุกลาม
00 อย่างไรก็ดีที่ยังน่าเป็นห่วงก็คือการรุกเข้ามาก่อเหตุในเมืองที่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่ล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นในตัวเมืองปัตตานี แม้จะพยายามป้องกันอย่างเต็มที่ แต่ก็เกิดเหตุจนได้ และเหตุที่เกิดในเมืองนี่แหละป้องกันยากที่สุดเพราะนอกจากระวังยากแล้ว หากเกิดเหตุแล้วความเสียหายก็จะตามมามหาศาล ซึ่งถ้าติดตามข้อมูลก็มีการแบ่งแยกหน้าที่กันทำ ในเมืองเป็นหน้าที่หลักของฝ่ายตำรวจในการรักษาความสงบก็ต้องทำให้เข้มข้น ต้องปลุกให้ชาวบ้านตื่นตัวร่วมกันเฝ้าระวังในพื้นที่ของตัวเองตลอดเวลา ดังนั้นผู้นำตำรวจอย่าง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.เมื่อหายหัวเสียกับเรื่องถูกเชิญไปให้ปากคำคดีทุจริตโรงพักฉาวแล้วก็ควรเจียดเวลาลงใต้บ้าง
00 แต่ที่น่าตลกและอัปยศอดสูไปกว่านั้นก็คือ ได้ยินคำพูดจากปากของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศปก.กปต.ดูแลงานด้านยุทธศาสตร์ชายแดนใต้ว่านายกฯยิ่งลักษณ์ “บังคับ” ให้เขาลงใต้โดยเร็วที่สุด ลองถ้าเป็นแบบนี้ก็ลาออกไปเสียเถอะ ขืนอยู่ไปก็ทำให้เกิดความ “รำคาญ” กับคนอื่นเปล่าๆ
00 หันมาเรื่องหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.กันบ้าง สังเกตหรือไม่ว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาบรรดาโพลหลายสำนักเริ่มหุบปากกันมากขึ้น หลังจากเริ่มมีเสียงวิจารณ์หนักข้อเรื่อง “รับจ้าง” หากิน อย่างไรก็ดีเมื่อเส้นทางเข้าสู่โค้งสุดท้ายอีกสิบกว่าวันก่อนการหย่อนบัตร มันก็ต้องเข้มข้นสารพัดวิชามารก็จะถูกงัดขึ้นมาถล่มฝ่ายตรงข้าม และก็น่าติดตามเหมือนกันว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมากระแสของ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ดูเหมือนจะแผ่วลงไป และด้วยสาเหตุนี้หรือเปล่าจึงต้องมีหวยเลข 09 ออกมา ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ก็ต้องเร่งปรับกลยุทธขนานใหญ่ แต่ปัญหาก็คือผ่านมา 4 ปีแล้วทำไมไม่ทำ หรือทำแล้วไม่สำเร็จ เหมือนอย่างกรณีทางจักรยานที่เพิ่งหยิบมาหาเสียงทั้งที่ทางเดิมก็มี “ตีเส้น” ไว้เรียบร้อยแล้ว แต่กลายเป็นที่จอดรถประจานความชุ่ย หรือแม้แต่ความไร้ระเบียบของทางเท้าที่ถือว่า “ห่วยแตก” ที่สุดยุคหนึ่ง
00 อย่างไรก็ดีถ้าบอกว่าคุณสมบัติเด่นที่คนจะอาสามาเป็นผู้ว่าฯกทม.ต้องมีเป็นอันดับแรกนอกเหนือจากผลงานในอดีตแล้วก็คือ “ความกล้า” เหมือนอย่างที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง อดีตผู้ว่าฯกทม.เคยแนะเอาไว้ และการเมืองท้องถิ่นแล้วการบริหารงานต้อง “ปลอดพรรคการเมือง” ซึ่งหากพิจารณาให้ดีก็หาได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับความกล้าหาญของชาวบ้านด้วยว่าจะกล้าหลุดพ้นออกจาก “กับดักความกลัว” หรือเปล่าต่างหาก !!