ผ่าประเด็นร้อน
เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ฐานปฏิบัติการเฉพาะกิจทหารนาวิกโยธิน กองทัพเรือ (ปืนเล็กที่ 2 ฉก.นาวิกโยธิน 32) ตั้งฐานปฏิบัติการที่ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส สามารถวางแผนเตรียมการตั้งรับและสามารถเด็ดชีพผู้ก่อการร้ายลงได้ในคราวเดียวกันถึง 16 ศพ เมื่อคืนวันที่ 13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาเป็นการมองสถานการณ์ในมุมบวก เห็นแนวโน้มที่ดีบางอย่าง ก็อาจมองอย่างนั้นได้
เพราะจากการเปิดเผยของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ ทั้งที่เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการดังกล่าว รวมไปถึงฝ่ายที่เกี่ยวข้องคนอื่น ล้วนออกมาตรงกันว่า สาเหตุสำคัญที่สามารถมีการเตรียมการวางแผนตั้งรับและต่อสู้จนทำให้ผู้ก่อการร้ายที่เหิมเกริมยกขบวนมาในชุดพรางเลียนแบบทหารจู่โจมกลางดึกต้องเสียชีวิตไปถึง 16 ราย และหนึ่งในนั้นเป็นระดับแกนนำที่มีหมายจับคดีความมั่นคงรวมทั้งถูกตั้งค่าหัวสูงถึง 2 ล้านบาทรวมอยู่ด้วย เป็นเพราะได้เบาะแสและ “แจ้งข่าว” จากชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะเห็น “แสงสว่างเล็กๆ”ที่ปลายอุโมงค์หลังจากมืดมิดมานานหลายปีแล้ว
ซึ่งการข่าวนี่แหละสำคัญที่สุดสำหรับการรับมือกับกลุ่มติดอาวุธที่สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้าน และเจ้าหน้าที่ เพราะการข่าวจะประสบความสำเร็จแม่นยำนั้นต้องได้รับความร่วมมือ ความไว้วางใจจากชาวบ้านเสียก่อน และจากปรากฏการณ์ดังกล่าวก็พอทำให้ชื่นใจได้บ้าง
อย่างไรก็ดี เมื่อมองในมุมบวกแล้วก็ต้องมองอีกด้านในมุมลบบ้าง หากพิจารณาจากจำนวน “กองกำลังติดอาวุธ” ของผู้ก่อการร้ายที่ยกขบวนพร้อมอาวุธร้ายแรงเข้ามาพร้อมกัน “นับร้อยคน” โดยสารรถยนต์กระบะสองสามคันรวมไปถึงจักรยานยนต์บุกโจมตีเข้ามาทางด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกันถือว่าเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความ “เติบโต” ของกลุ่มโจรได้อย่างน่ากลัวจริงๆ
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากการ “ทำสงคราม” กับเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งเป็นทหารที่ตั้งฐานปฏิบัติการโดยตรง ไม่ต่างจากการบุกเข้าไปในค่ายทหาร ลองนึกดูเอาก็แล้วกันว่าทั้งจำนวนของผู้ก่อการร้ายที่มีนับร้อย อาวุธร้ายแรงครบมือ และลองนึกต่อไปอีกว่าถ้าในคืนนั้นฝ่ายทหารไม่รับรู้ข่าวคราวความเคลื่อนไหวล่วงหน้าจะเกิดความสูญเสียมากมายเพียงใด
ขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมเช่นเดียวกันว่าหากจำนวนผู้ก่อการร้ายที่ยกขบวนเข้ามาจำนวนนับร้อยคน หรือไม่ต่ำกว่า 50-60 คนขึ้นไป และบอกว่าเหลืออีกประมาณไม่ต่ำกว่า 30 คนสามารถหลบหนีไปได้ และต่อมาทางแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ ขอความร่วมมือให้ชาวบ้านในพื้นที่ 6 ตำบลทั้งในจังหวัดนราธิวาส และปัตตานี ที่เป็นรอยต่อที่คนร้ายอาจอาจใช้เป็นที่หลบซ่อนและเส้นทางหลบหนี ไม่ให้ออกนอกบ้านตั้งแต่ 6 โมงเช้าในวันที่เกิดเหตุไปจนถึง 6 โมงเช้าในวันรุ่งขึ้น
แต่จากการตรวจสอบข่าวคราวทั้งหมดจนถึงบัดนี้ ยังไม่ปรากฏความคืบหน้าว่าสามารถไล่ล่าโจรก่อการร้ายที่หลบหนีได้แม้สักคนเดียว รวมไปถึงไม่อาจตรวจสอบได้เลยว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะและหลบหนีไปไปกบดานอยู่ที่ไหน ทั้งที่ตามข่าวบอกว่าเป็นการใช้รถกระบะเป็นพาหนะในการหลบหนี และจนบัดนี้ทั้งรถทั้งคนก็ยังไม่ทราบเบาะแส ทั้งที่มีการตั้งด่านสกัดจากเจ้าหน้าที่อย่างละเอียดยิบ
จากปรากฏการณ์และความเคลื่อนไหวดังกล่าวความหมายก็คือ ศักยภาพของผู้ก่อการร้ายมีพัฒนาการเติบโตอย่างน่ากลัว และแสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาพร้อมที่จะ “ยกระดับ” การปฏิบัติการพร้อม “ก่อสงคราม” เต็มรูปแบบ อาจไม่ใช่เป็นการซุ่มโจมตีเหมือนเดิมทั้งหมดแล้ว แต่มีแนวโน้มเป็นการผสมผสานทั้งสองแบบ ทำให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่และชาวบ้านที่อ่อนแอมีความเสี่ยงมากขึ้น อีกทั้งเมื่อพิจารณาจากการหลบหนีซึ่งจนบัดนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในด้าน “ร่องรอย” นั่นคือยังจับกุมไม่ได้สักรายเดียว ทั้งที่เป็นการหลบหนีไปจำนวนมาก พร้อมด้วยพาหนะขนาดใหญ่ เป็นรถยนต์กระบะ ยังสามารถรอดหูรอดตาเจ้าหน้าที่ไปได้
แสดงให้เห็นว่ายังมีแนวร่วมในพื้นที่ให้การช่วยเหลือ หรืออาจจะเกิดความกลัวไม่กล้าเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ก็เป็นได้
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหากมองในมุมลบก็ต้องบอกว่าชายแดนใต้มีความเสี่ยงสูงที่จะกลายเป็นดินแดน “มิคสัญญี” มากขึ้นก็เป็นได้ เพราะเมื่อพิจารณาจากศักยภาพของฝ่ายโจรก่อการร้าย แม้ว่าอีกด้านหนึ่งจะพอมองเห็นถึงพัฒนาการทางด้านการข่าวในการแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ ซึ่งนั่นก็ย่อมเกิดจากความไว้วางใจจากชาวบ้านในพื้นที่ และหวังว่าจะสามารถ “เข้าใจ เข้าถึงและพัฒนา” อย่างจริงใจ ที่สำคัญต้องใช้ความอดทนใช้ระยะเวลาอีกนานกว่าจะค่อยๆ ดีขึ้น อย่างน้อยก็ต้องยันเอาไว้ให้ได้ อย่าให้เลวร้ายลงไปกว่านี้ก็แล้วกัน
เพราะอีกด้านหนึ่งเมื่อหันมาพิจารณาจากฝ่ายนโยบายคือรัฐบาลกลับยังไม่มีความเข้าใจ ไม่มีความจริงใจมองสถานการณ์ในพื้นที่แบบฉาบฉวย ยังคิดที่จะห้อยโหนสถานการณ์แอบอ้างผลงานเป็นของตัวเองอย่าง “หน้าด้าน” ซึ่งถือเป็น “ตัวถ่วง” มากที่สุด!!