ผ่าประเด็นร้อน
แน่นอนว่าสถานการณ์ชายแดนใต้ต้องกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง ทั้งจากสถานการณ์ในพื้นที่เองที่ร้อนแรงโหดเหี้ยมขึ้นมาอย่างผิดปกติ ขณะเดียวกัน ความสนใจดังกล่าวส่วนสำคัญเกิดขึ้นต่อเนื่องกันจากคำพูดของฝ่ายนโยบายคือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบดูแลงานด้านยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาหลังจากได้รับ “รายงานในห้องแอร์” เนื่องจากไม่เคยเยื้องย่างลงไปดูพื้นที่จริงสักครั้งเดียว แต่กลับพูดจาให้ความเห็นเป็นตุเป็นตะ อีกทั้งยังหลับตาอวดรู้ว่าผู้ก่อการร้ายเป็นใครบ้าง มีกี่คนรู้หมด แต่ผลที่ออกมาตรงกันข้าม ส่วนใหญ่ทั้งเจ้าหน้าที่และชาวบ้าน ตายเจ็บรายวัน
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ล่าสุดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อกลางดึกล่วงเข้าวันที่ 13 กุมภาพันธ์ เมื่อคนร้ายจำนวนประมาณ 50 ในชุดทหารพร้อมเสื้อเกราะกันกระสุนและอาวุธร้ายแรงบุกเข้าโจมตีฐานปฏิบัติการเฉพาะกิจของทหารนาวิกโยธิน กองทัพเรือ (ปืนเล็กที่ 2 ฉก.นาวิกโยธิน 32) ที่อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาส จนเกิดการปะทะกันนานครู่หนึ่งคนร้ายก็ได้ล่าถอยไป และจากการเคลียร์พื้นที่พบว่าเจ้าหน้าที่ปลอดภัยทุกนาย ส่วนฝ่ายคนร้ายเสียชีวิตรวมทั้งหมด 17 ศพ ที่เหลือหลบหนีไปได้ แต่ก็มีการติดตามไล่ล่าอย่างใกล้ชิด โดยการประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ใกล้เคียงเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้เห็น “บางอย่าง” ที่น่าสนใจก็คือ จากการแถลงของทั้งโฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พ.อ.ปราโมทย์ พรมอินทร์ และแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ เปิดเผยตรงกันว่า ก่อนเกิดเหตุได้รับการแจ้งเบาะแส “แจ้งข่าว” ความเคลื่อนไหวของคนร้ายให้เจ้าหน้าที่ได้ทราบล่วงหน้า จนนำไปสู่การเตรียมการป้องกันรับมืออย่างดี
ในทางตรงข้าม ลองนึกภาพก็แล้วกันว่าการบุกเข้ามาของคนร้ายที่มีจำนวนมากไม่น้อยกว่า 50 คน แต่งกายในชุดพรางเลียนแบบทหารพร้อมสวมเสื้อเกราะกันกระสุนบุกเข้ามากลางดึก หากไม่ทราบข่าวล่วงหน้าจะเกิดความสับสนขึ้นเพียงใด และความสูญเสียของเจ้าหน้าที่ทหารจะมากมายเพียงใด ซึ่งแน่นอนว่าฝ่ายคนร้ายก็เตรียมการมาดีเช่นเดียวกัน เพราะจากสภาพการณ์ปะทะก็มีทั้งหน่วยจู่โจม คุ้มกันขณะล่าถอยเอาไว้พร้อมสรรพ
แน่นอนว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ไม่ค่อยได้เห็นนักที่เจ้าหน้าที่สามารถตั้งรับและตอบโต้คนร้ายจนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากก่อนล่าถอย ส่วนใหญ่มักได้ยินข่าวคราวว่าเจ้าหน้าที่มักถูกซุ่มโจมตีเกิดความสูญเสียตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ฐานปฏิบัติการดังกล่าวทำให้เริ่มมองเห็น “นิมิตหมายที่ดี” โดยเฉพาะในเรื่อง “การข่าว” และความร่วมมือจากชาวบ้านในพื้นที่มากขึ้น
แน่นอนว่าการจับกุม กวาดล้างผู้ก่อการร้าย หรือผู้กระทำผิดส่วนใหญ่จะได้ผลหากได้รับเบาะแส ให้ข้อมูลจากชาวบ้านในพื้นที่ สังเกตหรือไม่ว่าที่ผ่านมาแทบทุกครั้งเมื่อคนร้ายก่อเหตุแล้วหลบหนีเข้าไปในหมู่บ้านแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย และหลายครั้งคนร้ายยังขับรถกระบะ ขับรถจักรยานยนต์หลบหนีไปต่อหน้าต่อตา นั่นก็แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านยังไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ส่วนจะเป็นเพราะสาเหตุใดค่อยมาว่ากันอีกเรื่องหนึ่ง
หากจะว่าไปแล้วสำหรับการแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้ผลและยั่งยืนนั้นเคยมี “ยุทธศาสตร์พระราชทาน” นั่นคือ “เข้าใจ-เข้าถึง-พัฒนา” ซึ่งถือว่าคลาสสิคที่สุดและได้ผลที่สุด เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาเชื่อว่าไม่ได้นำไปใช้จริงจัง และเป็นเอกภาพระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ และหน่วยงานในพื้นที่กับฝ่ายนโยบายในส่วนกลางคือรัฐบาล เอาง่ายๆแค่ฝ่ายที่ดูแลงานด้านยุทธศาสตร์ที่ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาล คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มีท่าทีให้ประกาศเคอร์ฟิวในบางพื้นที่ แต่ฝ่ายปฏิบัติและชาวบ้านไม่เห็นด้วย และไม่ต้องไปพูดถึงกรณีที่ไม่เคยเหยียบย่างลงแม้แต่ครั้งเดียว รับรายงานแต่ในห้องแอร์เท่านั้น
คำถามก็คือถ้าเข้าใจนั้นเข้าใจจริงหรือเปล่า เข้าถึงชาวบ้านจริงหรือเปล่ารวมไปถึงพัฒนาให้ถูกทางตามความต้องการของชาวบ้านจริงหรือเปล่า หรือว่าได้แต่ท่องจำไปเรื่อย หรือหากแต่ปฏิบัติได้ไม่เต็มร้อย
ดังนั้น ถ้ากล่าวว่าสถานการณ์ชายแดนใต้หากให้เดินมาถูกทาง มีแนวโน้มที่ดีก็ต้องเน้นย้ำยุทธศาสตร์พระราชทาน เข้าใจ เข้าถึง พัฒนาอย่างจริงจังเท่านั้น และต้องคัดเลือกเจ้าหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพสูง และเต็มใจเสียสละอย่างแท้จริง อย่าเอาพวกที่แก้ปัญหาด้วยปาก ทำงานเหมือนถูกบังคับให้ทำอย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง เป็นอยู่ ซึ่งคนประเภทหลังนี่แหละควรถูกกันออกไปให้ไกลสุดกู่ เพราะนอกจากน่ารำคาญแล้วยังทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก!!