ส.ว.กทม.เขียนเฟซบุ๊กจวกนายกฯ ฝรั่งเศส เหิมจุ้นวิพากษ์ ม.112 ทั้งๆ ที่ไม่รู้เรื่อง ย้อนสมมติถ้า “ยิ่งลักษณ์” สวนคู่เจรจากีดกันเสรีภาพสาวมุสลิมสวมฮิญาบบ้าง ชี้ควรรักษามารยาททางการเมืองไม่วิจารณ์กระบวนการทางตุลาการชาติอื่น
วันนี้ (6 ก.พ.) น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กทม. ได้เขียนข้อความบนเว็บไซต์เฟซบุ๊ก “รสนา โตสิตระกูล” ระบุว่า กรณีนายกฯ ฝรั่งเศส ที่เข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแถลงร่วมวอนไทยเคารพสิทธิแสดงความคิดเห็น โดยในเนื้อข่าวระบุตอนหนึ่งว่า นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสยังให้ความเห็นเกี่ยวกับปัญหาด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองไทยโดยเฉพาะการเอาผิดต่อผู้ละเมิดกฎหมายมาตรา 112 ว่า การแสดงออกทางความคิดเห็นจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีอำนาจก็ไม่ควรใช้กฎหมายในการกีดกันเสรีภาพทางความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตยเช่นกัน
น.ส.รสนาระบุว่า นายกฯ ฝรั่งเศสไม่ควรให้ความเห็นในเรื่องที่ตัวท่านเองไม่รู้รายละเอียด ถ้าสมมุตินายกฯ ไทย ไปฝรั่งเศสแล้วให้สัมภาษณ์ว่า ฝรั่งเศสไม่ควรกีดกันเสรีภาพของสตรีมุสลิมในการคลุมฮิญาบ เพราะเป็นการเสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพสากลมี 4 เรื่อง คือ เสรีภาพในการพูด (Freedom of Speech), เสรีภาพในการนับถือศาสนา (Freedom of Worship), อิสรภาพจากความอดอยาก (Freedom from Hunger) และอิสรภาพจากความกลัว (Freedom from Fear) เรื่องฮิญาบเป็นเรื่องที่สภาฝรั่งเศสมีมติออกมาเหมือนกัน แล้วใครไปก้าวก่ายได้ไหมว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ฝรั่งเศสกลัวเรื่องก่อการร้าย จนสามารถละเมิดสิทธิในการนับถือศาสนาได้ นายกรัฐมนตรีไทยย่อมไม่ไปให้สัมภาษณ์ในเรื่องที่เป็นกระบวนการทางกฎหมายของประเทศอื่นฉันใด นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็ควรรักษามารยาททางการเมืองที่จะไม่วิจารณ์เรื่องของกฎหมาย และกระบวนการทางตุลาการของประเทศอื่นฉันนั้น
“หากจะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือกระบวนการยุติธรรมใดๆ ก็เป็นเรื่องของการแก้ไขในรัฐสภาภายใต้ระบอบประชาธิปไตยของเราเอง” น.ส.รสนาระบุ
อย่างไรก็ตาม วานนี้ (5 ก.พ.) ระหว่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย และนายฌอง มาร์ก เอโรต์ นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส ได้ร่วมกันแถลงข่าวระหว่างการมาเยือนราชอาณาจักรไทยอย่างเป็นทางการนั้น ผู้สื่อข่าวจากสำนักข่าวเอเอฟพีได้ถามคำถามนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 ในไทย หรือที่เรียกว่ากฎหมายเลสต์ มาเจสต์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทางสหภาพยุโรปให้ความสำคัญและติดตามมาโดยตลอด โดยนายฌองตอบว่า การแสดงออกทางการเมืองจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีอำนาจก็ไม่ควรใช้กฎหมายในการกีดกันเสรีภาพการแสดงออกทางความคิดเห็นตามระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน
