xs
xsm
sm
md
lg

จับโกหก “พงศพัศ” ขายฝัน หลอกคนกรุงเทพไปวันๆ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

“ของฟรีไม่มีในโลก” อาจจะเป็นคำที่คน กทม.ต้องนำมาเตือนสติตัวเองให้หนักหน่วงเป็นพิเศษในขณะนี้

เพราะ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สม้ครผู้ว่า กทม.พรรคเพื่อไทย กำลังรณรงค์อัดประชานิยม มอมเมาคน กทม.ให้เสพติดจนเกิดอาการเบลอ เลือกคนที่เคยให้การเท็จในชั้นศาลเพื่อนายจากคดี “บิ๊กขี้หลี” มาเป็นพ่อเมือง กทม.

ดังนั้น สิ่งที่สื่อมวลชนควรจะต้องทำหน้าที่ของตนอย่างจริงจังคือ การตีแผ่ให้เห็นด้วยการคลี่นโยบายขายฝันของพวกสติเฟื่อง ว่าทำได้จริงหรือเป็นเพียงแค่ลมปากที่พ่นออกมาอย่างไร้ความรับผิดชอบ

เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงและชัยชนะเท่านั้น

“นโยบายในการหาเสียงนั้น ทำได้จริง และอยู่ในกรอบอำนาจของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ส่วนการจัดการบริหารใดที่ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจ จะต้องประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ”

คำกล่าวข้างต้นของ พล.ต.อ.พงศพัศ ยิ่งทำให้เกิดคำถามมากขึ้นว่า ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยรายนี้กำลังโกหกประชาชนรายวัน ไม่ต่างจากที่รัฐบาลชุดนี้กำลัง “ไวต์ลาย” ประชาชนทุกวินาทีหรือเปล่า

เพราะหลายประเด็นที่นำมาหาเสียงกับคนกรุงนั้นมิได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของคนเป็นผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งตัว พล.ต.อ.พงศพัศ ก็เคยยอมรับในเรื่องนี้ แต่การพูดแต่ละครั้งก็กลับไปกลับมา จนหาความน่าเชื่อถือไม่ได้ โดยจะยกตัวอย่างให้เห็นพร้อมชำแหละในประเด็นที่สำคัญ ดังนี้

นโยบายการดูแลผู้สูงอายุ จะประสานกับรัฐบาลเพื่อเพิ่มเบี้ยยังชีพแก่ผู้สูงอายุในกรุงเทพฯให้มากขึ้น จากเบี้ยยังชีพตามนโยบายของรัฐบาลที่จ่ายให้ 600-1,000 บาทตามลำดับอายุนั้น ในส่วนของกรุงเทพฯ มีค่าครองชีพสูงกว่าในจังหวัดอื่น จึงจะประสานให้เพิ่มเป็น 1,000-1,200 บาท

คำถามคืองบประมาณในการแจกเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นเงินของ กทม.หรือจัดสรรให้โดยรัฐบาลเพื่อให้ท้องถิ่นไปบริหารจัดการให้ คำตอบคืองบประมาณในส่วนนี้เป็นของรัฐบาลที่จัดสรรให้ท้องถิ่นไปดำเนินการแทน หากจะมีการปรับเบี้ยยังชีพคนชราเฉพาะในส่วน กทม.จริงจะทำได้หรือไม่

และเรื่องนี้ย่อมชัดเจนว่ามิใช่อำนาจหน้าที่ของ กทม.ที่จะตัดสินใจได้แต่เป็นเรื่องของรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการตบหน้าตัวเองของ พล.ต.อ.พงศพัศ ที่พยายามบอกว่าการหาเสียงของตัวเองนั้นอยู่ในกรอบอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าฯ กทม.

ที่ถูกตีแสกหน้าไปจนเลือดอาบอีกนโยบายหนึ่ง คือ เรื่องรถเมล์ฟรี ซึ่ง ชัชชาติ สุทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ออกมาสวน จูดี้อีเวนต์ว่า

“นโยบายหาเสียงของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม.นั้นไม่เกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม หากต้องการให้มีการให้บริการรถเมล์ฟรี นอกเหนือจากรัฐบาลจะกำหนดว่า กทม.ต้องนำเงินมาจ่ายชดเชยให้ ขสมก.เองไม่ใช่ให้รัฐนำภาษีประชาชนทั้งหมดมาจ่าย”

คำถามต่อไปที่ จูดี้ ต้องตอบและคนกรุงต้องร่วมกันตรวจสอบคือ เมื่อรัฐไม่อุดหนุนจะเรียกว่า “ไร้รอยต่อ” ตามที่โฆษณาชวนเชื่อได้อย่างไร และ กทม.จะมีงบประมาณเพียงพอที่จะไปทำโครงการตามการขายฝันของจูดี้หรือไม่

โดยต้องพิจารณาบนพื้นฐานความจริงเพื่อที่จะได้ไม่ถูกหลอกจนถูกชักจูงง่ายๆ เหมือนกับในพื้นที่อื่นๆ ที่พรรคเพื่อไทยทำการตลาดสำเร็จมาแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ของ กทม.มีวงเงินประมาณ 60,000 ล้านบาท แยกเป็นงบประจำ 47,225 ล้านบาท งบลงทุน 9,520 ล้านบาท และงบกลาง 3,254 ล้านบาท ในงบกลาง แยกเป็น งบดำเนินการ 1,720 ล้านบาท งบลงทุน 1,534 ล้านบาท

จะเห็นได้ว่าค่าใช้จ่ายหลักของ กทม. ก็รัดตัวอยู่แล้วจะนำเงินจากไหนมาอุดหนุนรถเมล์ฟรี

ตามคำหาเสียงของ จูดี้ ที่จะเพิ่มรถเมล์ฟรีจาก 800 คันเป็น 1,600 คันจะต้องใช้เงินหลายพันล้านบาท ที่น่าสนใจคือ กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดตัวเลขการใช้ภาษีของรัฐบาลที่ผ่านมาในส่วนของรถเมล์ฟรี 800 คัน 3 ปี นับตั้งแต่ 54-56 ใช้ภาษีประชาชนไปแล้ว 8,590 ล้านบาท

จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่ารถเมล์ฟรี 800 คันต้องใช้งบประมาณปีละประมาณ 2,863 ล้านบาท หากจะกำหนดให้ฟรี 1,600 คัน กทม.จะต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับ ขสมก.ปีละประมาณ 5,726 ล้านบาท ยังไม่รวมกับที่คุยโวว่าจะให้ขึ้นรถร่วม ขสมก.ฟรีด้วยก็บวกไปอีกเกือบ 1,400 คัน ตามตัวเลขที่จูดี้ระบุไว้ว่ารวมหมดทั้ง ขสมก.และรถร่วมจะมีประมาณ 3,000 คัน

เท่ากับว่าต้องใช้งบ กทม.มาสนับสนุนในส่วนนี้อีกประมาณ 5,010 ล้นบาทต่อปี รวมใช้งบประมาณเฉพาะโครงการรถเมล์ฟรีกว่า 1 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ กทม.มีงบลงทุนเพื่อใช้ในการพัฒนารวมทั้งหมดประมาณ 11,054 ล้านบาทเท่านั้น

เพียงแค่โครงการรถเมล์ฟรีแค่อย่างเดียวก็ล่องบประมาณของ กทม.ทั้งหมดไปทั้งปีแล้วโดยไม่เหลือให้นำมาลงทุนโครงการอื่นเลย!

นี่ยังไม่รวมเรื่องเบี้ยยังชีพคนชราที่ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลจะออกให้ตามที่หาเสียงหรือไม่ แค่นี้ก็น่าจะทำให้เห็นภาพชัดเจนแล้วว่าสิ่งที่ พล.ต.อ.พงศพัศ หาเสียงนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง

เว้นแต่ว่า ชัชชาติ จะพลิกลิ้นยอมกลืนน้ำลายตัวเองให้รัฐบาลสนับสนุนเงินให้กับ กทม. แต่ภาระก็จะตกอยู่กับรัฐบาลที่กำลังถังแตกอยู่ในขณะนี้ จนต้องเตรียมที่จะกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทมาลงทุน เพื่อเอางบประมาณประจำปีไปผลาญในโครงการประชานิยม

คำถามคือว่า คนกรุงเทพฯอยากเห็นเมืองหลวงของเราต้องเป็นหนี้เลียนแบบรัฐบาลยิ่งลักษณ์หรือไม่

ศึกเลือกตั้งครั้งนี้จึงเป็นดัชนีชี้วัดครั้งสำคัญถึงวุฒิภาวะของคนกรุงเทพจากผลลัพธ์ในการเลือกพ่อเมือง เพื่อแสดงให้เห็นว่า คน กทม.คือปัญญาชนที่มีวุฒิภาวะในการเลือกคนดีเข้ามาบริหารประเทศจริงหรือไม่ หรือสุดท้ายแล้วคน กทม.ก็ไม่ต่างอะไรจากคนอีสานที่ถูกมอมเมาได้ด้วยนโยบายขายฝัน และคำโกหกจนทำให้ประเทศชาติตกหล่มอยู่ในขณะนี้

ที่สำคัญคือ หาก กทม.ถูกยึดได้ตามความมุ่งหมายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี ก็เท่ากับว่าเราปล่อยให้นักโทษควบคุมประเทศได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว คน กทม.จะยอมให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นหรือไม่?
กำลังโหลดความคิดเห็น