“จารุพงศ์” หว่านยาหอมเสื้อแดงไม่ทิ้งเยียวยา แต่นิรโทษกรรมต้องศึกษาก่อน

หน.เพื่อไทยลั่นไม่ได้นิ่งนอนใจเยียวยาทางการเมือง ส่วนการออกกฎหมายนิรโทษกรรมพูดอ้อมๆ มี 3 แนวทาง อ้างต้องศึกษาความเหมาะสมก่อน เตรียมยกเคสในอดีต “14 ตุลา 16” มาดู อีกด้านไม่ตื่นเต้นโพลล์ผู้ว่าฯ กทม. ชี้ “จูดี้” นำ

วันนี้ (29 ม.ค.) ที่กระทรวงมหาดไทย นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มปฏิญญาหน้าศาลได้เคลื่อนไหวให้รัฐบาลแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเพิ่มหมวดว่าด้วยการนิรโทษกรรมกับผู้ชุมนุมทางการเมืองที่ถูกดำเนินคดีว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจสำหรับการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง ทางนายกรัฐมนตรีกำชับให้ดูแลผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต สำหรับผู้ที่ถูกคุมขังโดยให้ดูถึงกฎระเบียบที่พอจะช่วยเหลือจะได้อย่างไรบ้าง รวมถึงนายกรัฐมนตรียังได้ย้ำให้ช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ครอบครัวของผู้ถูกคุมขัง ทั้งความเป็นอยู่ของญาติพี่น้อง ค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาเยี่ยม ในฐานะเป็นประธานคณะกรรมการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทางการเมือง โดยตำแหน่งจะทำหน้าที่ดูแลในส่วนนี้

เมื่อถามถึงความจำเป็นที่ต้องมีการออกกฎหมายเพื่อปล่อยนักโทษการเมืองในขณะนี้ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า เรื่องกฎหมายมีแนวทาง 3 แนวทาง คือ แนวทางของคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ ที่มีนายอุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธาน หรือ คอ.นธ. แนวทางของกลุ่มปฏิญญาหน้าศาล และแนวทางที่ทำโดยคณะกรรมการอิสระตรวจสอบความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติได้ทำไว้ ต้องศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมของทั้งสามแนวทาง ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจเพราะการเยียวยาบาดแผลให้มีความสมานกันได้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องการทำ เรื่องการเยียวยาด้วยการอภัยโทษต้องนำกรณีที่เคยมีมาในอดีตมาศึกษาดูทั้งหมด อาทิ กรณีเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ซึ่งเคยมีการให้อภัยโทษนักศึกษา และผู้ชุมนุม เป็นต้น

นายจารุพงศ์ ยังกล่าวถึงการกำหนดยุทธศาสตร์เลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคเพื่อไทย หลังโพลพบว่าคะแนนนิยม พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้น ว่า ผลโพลล์พรรคไม่ได้ประมาท เพราะการเลือกตั้งปัจจัยสำคัญอยู่ที่ 3 ปัจจัย คือ กระแสการยอมรับของประชาชน คุณสมบัติและท่าทีของผู้สมัครในการที่ต้องได้รับการยอมรับจากประชาชน และการจัดตั้งแกนนำเพื่อไปสัมผัสกับชาวบ้าน ให้รู้ถึงความต้องการของประชาชนตลอดเวลา ทั้งสามส่วนจะมีความสำคัญในการทำให้ผู้สมัครได้รับการยอมรับ