หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เรียกร้องรัฐบาลเร่งแถลงผลงานต่อสภา ตามบทบัญญัติ รธน. หลังสภาฯ-วุฒิฯ ยื่นญัตติขอให้ดำเนินการ ย้อนถามรัฐบาลเลี่ยงแจงผลงานมีนัยอะไร ส่วนที่ ปชป.ยื่นจดหมายถึงศาล รธน. หวังดักคอรัฐบาลออก พ.ร.ก.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้องให้รัฐบาลแถลงผลงานครบ 1 ปี ตามรัฐธรรมนูญ เพราะจนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้มีการแถลงผลงานต่อสภาเลย ซึ่งจะมีปัญหาหรือไม่ เพราะสมัยประชุมนี้เป็นสมัยประชุมนิติบัญญัตินั้นไม่สามารถที่จะพิจารณาได้ ก็ต้องมีการเสนอญัตติขอรัฐสภาอนุมัติให้วุฒิสภากับสภาผู้แทนราษฎรสามารถพิจารณาเรื่องนี้ในสมัยประชุมนิติบัญญัติได้ ซึ่งวันนี้ก็มีทั้งสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็วุฒิสภาได้เสนอญัตติดังกล่าว ก็อยู่ที่รัฐบาลจะอนุญาตหรือไม่ แต่หากรัฐบาลไม่อนุญาตก็จะเป็นเรื่องแปลกมากว่ารัฐบาลพยายามที่จะไม่แถลงผลงานต่อสภา ทั้งที่เป็นการบวนการตรวจสอบรัฐบาลตามรัฐธรรมนูญว่ารัฐบาลได้มีการดำเนินการตามแนวนโยบายของรัฐที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญมากน้อยแค่ไหน ซึ่งทุก 1 ปีต้องกลับมารายงานว่ามีความก้าวหน้าในการดำเนินนโยบายอย่างไร
“สมัยประชุมที่ผ่านมาผมเข้าใจว่าตอนแรกเราจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ก็รอให้รัฐบาลแถลงผลงานก่อน ซึ่งก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลมีปัญหา และประสบความล่าช้าอยู่ จนกระทั่งฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจเสร็จก็ปิดสมัยประชุม เรื่องการแถลงนโยบายจึงค้างมาจนถึงปัจจุบัน ส่วนเรื่องนี้จะมีนัยยะหรือไม่นั้น ก็น่าจะลองไปสอบถามรัฐบาล”
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงการยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงศาลรัฐธรรมนูญ จากกรณีที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ที่ยังไม่มีการดำเนินการว่า ในวันที่รัฐบาลออก พ.ร.ก.ดังกล่าวนั้น ทางพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อคัดค้านว่าไม่น่าจะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และควรจะออกกฎหมาย พ.ร.บ.ปกติ เพราะไม่น่าจะสามารถใช้จ่ายได้ตามความจำเป็นเร่งด่วนที่อ้างเนื่องจากรัฐบาลก็มีงบกลางจำนวนมาก แต่ในขณะนั้นรัฐบาลก็ยืนยันว่ามีความพร้อมทุกอย่าง ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ยกประโยชน์ให้กับรัฐบาล แต่ขณะนี้เวลาผ่านมาร่วมปีกลับไม่มีความคืบหน้าในแง่ของการกู้หรือใช้จ่ายเงินเลย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์อยากจะให้ศาลรัฐธรรมนูญได้รับทราบว่า รัฐบาลนั้นเคยบอกไว้อย่างไร แต่ขณะนี้ความจริงเป็นอย่างไร และที่จำเป็นต้องบอกศาล เพราะขณะนี้มีข่าวว่ารัฐบาลอาจจะกู้เงินอีก 2.2 ล้านล้านบาท ซึ่งก็เกรงว่าจะมาอ้างกับทางศาลอีกว่ามีความจำเป็นเร่งด่วน