รายงานการเมือง
ดิ้นพล่านมาตลอดปีมะโรง แต่ขบวนการชำแหละรัฐธรรมนูญฉบับ “หน้าแหลมฟันดำ” ภายใต้ผู้บังคับบัญชาจากดูไบก็ยังไปไกลไม่ได้มากกว่าวาระ 2 และดูเหมือนวาระ 3 สำหรับพลพรรคนายห้างจะกลายเป็นอาถรรพ์ที่คนเหล่านี้ไม่สามารถจะล้างออกได้
ต้องเรียกได้ว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ฉบับนี้ “เหนียว แน่น หนึบ” มีของดีฉีกไม่ง่ายจริงๆ แม้ตอนแรกเริ่มเดิมทีทำท่าว่าลูกหาบ “เพื่อแม้ว” จะแบกใส่บ่าวิ่งปลิวราวกับนุ่น โดยเฉพาะในวาระ 1 และ 2 ที่อาศัยเสียงข้างมากยกมือโหวตผ่านไปแบบสบายๆ
แต่ก็ต้องมาหยุดชะงักในวาระ 3 เมื่อทีมงานฝ่ายต้านผนึกแนวร่วมยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 ฉบับนี้แท้จริงแล้วสามารถรื้อได้ทั้งฉบับเลยหรือไม่ และสุ่มเสี่ยงที่จะขัดต่อมาตรา 68 หรือไม่ กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญออกนั่งบัลลังก์วินิจฉัยว่ายังไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 แต่วางหมายเหตุเอาไว้หากจะแก้ไขทั้งฉบับควรทำประชามติก่อน
เพราะ “ต้นไม้พิษ” ต้นนี้ที่พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงขนานนามนั้น ก็ได้ผ่านการทำประชามติมาเหมือนกัน ดังนั้นหากจะฉีกจะรื้อก็ควรต้องทำประชามติเสียก่อน
ในอารมณ์เดียวกันที่รอดจากคมดาบ “ศาลรัฐธรรมนูญ” แต่ก็เหมือนคำวินิจฉัยดังกล่าวจะทำให้เครือข่ายนายห้างปวดกบาลหัวแทบแตกว่าจะยกมือโหวตวาระ 3 และไปแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาร่างรัฐธรรมนูญ แล้วจึงค่อยทำประชามติ หรือทำประชามติก่อนหนึ่งรอบแล้วค่อยไปเลือกตั้ง ส.ส.ร.ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา แล้วไปจบด้วยการทำประชามติเป็นรอบที่สอง
นาทีนั้นขุมข่ายนายห้างเสียงแตกกันสะเปะสะปะหลายอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมกระโดดลงหนุนลุยโหวตวาระ 3 ตามแบบฉบับฉากตาต่อตา ฟันต่อฟัน ส่วน “เป็ดน้อย” อย่าง “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี ก็กลัวจะเสียอำนาจอยากให้แก้ไขเป็นรายมาตรายื้อเวลาออกไป ขณะที่ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยก็อยากประคองรัฐบาลให้บริหารประเทศไปได้จึงหาวิธีที่ปลอดภัยที่สุด
พายเรือวนกันอยู่ในอ่างดิ้นกันพล่านว่าจะทำอย่างไร กระทั่งปลายปีงูใหญ่ที่ผ่านมาดูเหมือนจะใกล้เคียงกับความจริงเมื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เลือกกดคลิกการทำประชามติก่อนโหวตวาระ 3 เพื่อสร้างเกาะกำบังให้รัฐบาล
แต่คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้อย่างไร รัฐธรรมนูญปี 2550 ก็แบบเดียวกัน เพราะรัฐบาลต้องมาติดหล่มกันอีกรอบ เนื่องจากคะแนนที่จะทำให้ผ่านการทำประชามติได้นั้นยากแสนยากมากกว่าการเลือกตั้งทั่วไป โดยเฉพาะด่านแรกที่กำหนดไว้ว่าจะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง ซึ่งตรงนี้พรรคเพื่อไทยหลายคนฟันธงว่าอย่างไรก็ไม่ได้ไปต่อ
เพราะลำพังแค่ 15 ล้านเสียงที่ได้ตอนเลือกตั้งยังไม่พอยาไส้ให้ผ่านไปได้ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังมาขัดขวางด้วยเกมรณรงค์ไม่ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ เรียกว่าจบเห่ตั้งแต่เริ่ม ที่สำคัญหากดันทุรังทำประชามติต่อไปแล้วผลออกมาไม่ผ่านขึ้นมา “เพื่อแม้ว” ก็หมดความชอบธรรมในการที่จะรื้อต่อไป ตลกร้ายจะโดนกดดันให้แสดงสปิริตรับผิดชอบด้วยการยุบสภาอีกด้วย
พอเรื่องเข้าอีหรอบติดแหง็กอีกหน พลพรรคเพื่อไทยก็เลยใช้มุกถนัดตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาการทำประชามติถ่วงเวลา แถมสร้างภาพให้ดูมีความคืบหน้าด้วยการโยนภาระไปให้สถาบันศึกษาชื่อดังด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ช่วยกันหาทางออก
ตามอาการ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ก็ชักจะตีบจะตันเหมือนกัน เพราะไม่ว่าเดินไปทางไหนก็มีกับดักรออยู่ข้างหน้าทุกทาง สภาวะตอนนี้เลยไม่ต่างจากสุญญากาศเคว้งไปเคว้งมายังหาจุดนิ่งไม่ได้ ชนิดสมองไหลไปวันๆว่าจะเอาแนวทางนั้นแนวทางนี้สารพัด
แต่สุดท้ายก็แค่เลี้ยงเชื้อเลี้ยงอารมณ์มวลชนคนเสื้อแดง ให้เห็นว่ารัฐบาลยังคงมีความพยายามจะปลดพันธนาการของฝ่ายอำมาตย์อยู่ ทั้งที่สภาพจริงๆ นั้นยังดิ้นไม่ออกว่าจะเลือกทางไหน
ตามจังหวะเลยต้องยื้อออกไปเรื่อยๆ ขณะที่แนวทางก็ยังไม่ได้มีการเคาะเพราะตามยุทธศาสตร์ปัจจัยชี้ขาดอยู่ที่สถานการณ์ในขณะนั้น และสัญญาณไฟเขียวจากอำนาจที่มองไม่เห็น
เมื่อเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นเป้าหมายสูงสุดติดหล่ม มวลชนคนเสื้อแดงที่ก่อนหน้านี้เริ่มออกอาการหงุดหงิดอยู่แล้วเป็นทุนก็ชักจะเหวี่ยงมากขึ้น ตามเกมแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ก็เลยต้องปล่อยมุกใหม่เพื่อรักษาอารมณ์ให้เห็นถึงความพยายามที่เคยยาหอมสัญญาเอาไว้ เล่นบทออกมาเคลื่อนไหวให้รัฐบาลออกพระราชกำหนดนิรโทษกรรม (พ.ร.ก.นิรโทษกรรม) ให้กับผู้ต้องหาในคดีการเมือง ย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 ถึง วันที่ 31 ธันวาคม 2554 ยกเว้นผู้สั่งการที่ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ส่วนพวกแกนนำที่ถูกกล่าวหาว่าสั่งการหากภายหลังพิสูจน์ทราบว่าไม่ผิดก็ถือว่าเข้าข่ายด้วย
เล่นหมกเม็ดเปิดอ้าให้ตัวเองกันเลย!
ตามคิวสร้างภาพแบบวิน-วิน ให้กลุ่มเสื้อสีอื่นได้รับอานิสงค์ด้วย พร้อมยกเหตุออกกฎหมายติดจรวดเพราะพระราชบัญญัติปรองดอง (พ.ร.บ.ปรองดอง) อย่างไรก็ไปไม่ถึงฝัน เพราะต้องผ่านกระบวนการสภาที่แนวต้านตั้งท่าเป็นจระเข้ขวางคลองเอาไว้
ก็แค่เรียกร้องความสนใจจากมวลชน เข้าตำรับมุกเดิมแบบ “แกนนำสไตล์” ให้เห็นภาพความพยายามเหมือนเดิม เพราะตามสภาพจริงๆ แผนนี้ไม่มีวันเป็นรูปธรรมได้ด้วยปัจจัยที่หนึ่งคือ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ไม่เอาด้วยแน่ เพราะถือว่าเป็นของร้อนที่ลวกมือให้พองได้ภายในพริบตา โดยเฉพาะเมื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีอาจได้รับผลบุญแห่งกฎหมายดังกล่าว จึงยิ่งจะเป็นการสร้างแรงกระเพื่อมในสังคมให้ขัดแย้งกันมากขึ้น
และอีกปัจจัยคือ การออกกฎหมายดังกล่าวอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะมีน้ำหนักบ่งบอกพอว่ารัฐบาลจำเป็นจะต้องทำเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ตามคิวที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สำทับเอาไว้ทำนองตอนออก พ.ร.ก.กู้เงินป้องกันน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาทรอดมาได้ก็บุญแล้ว เพราะวันนี้ตอกย้ำแล้วว่าไม่มีเรื่องอะไรด่วนเลย
ยิ่งมาแตะเอา พ.ร.ก.นิรโทษกรรมที่เหล่าไพร่แดงเสนอ งานนี้อาจต้องเจอของหนักทั้งศาลรัฐธรรมนูญ และมวลชนแนวต้าน จะล้มครืนเอาง่ายๆ
ฉากนี้ของแกนนำแดงก็เลยหนีไม่พ้นเล่นบท “ปาหี่” หลอกมวลชน