รายงานการเมือง
ภาพที่ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” รองนายกรัฐมนตรี นำคณะตัวแทนของประเทศไทยซึ่งประกอบด้วย “พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร” เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” เลขาธิการศูนย์อำนวยการจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เข้าหารือกับ “นาจิบ ราซัค” นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แบบเต็มคณะ ถือเป็นนิมิตหมายอันดีในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
เพราะอย่างน้อยการไปเยือนเพื่อนบ้านครั้งนี้ถูกนำไปเผยแพร่ต่อสายต่อคนทั้งโลก ทำให้รัฐบาลภายใต้การนำของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ดูดีในสายตาคนทั้งโลกมากขึ้น เพราะนี่เป็นเกมถนัดของพลพรรค “เพื่อแม้ว” ในการสร้างราคาให้ตัวเองต่อสายตาคนทั้งโลกอยู่แล้ว
แต่การพบกันระหว่าง “คณะไทย-มาเลเซีย” ครั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะทำให้สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เพราะหาจำกันได้ก่อนหน้านี้ “ไทย-มาเลเซีย” พูดคุยหารือกันมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่มีความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมออกมาให้เห็น จะมีก็น้อยมาก
อย่างว่าแต่การหารือกันเต็มรูปแบบเลย ขนาดการหารือ “คณะเล็ก” ที่ทั้งสองประเทศพบเจอกันอยู่บ่อยๆ ยังต้องล้มไม่เป็นท่า ไม่มีข้อตกลงที่จะหาจุดร่วมกันในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นได้
ฟันธงไว้ก่อนได้เลยว่า ท้ายที่สุดแล้วข่าวคราวการหารือเกี่ยวกับความร่วมมือต่างๆก็จางลง ในขณะที่ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็ยังต้องดำเนินไปตามวิถีต่อไป
ย้อนกลับมาดูประเด็นหารือที่ “พล.ท.ภราดร” ระบุไว้ว่า “นายกฯ ราจิบ” ได้สื่อสารถึงประเทศไทยชัดเจน คือ 1.เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะมีการเปิดเวทีพูดคุยกันกับผู้ที่มีความเห็นต่างคือเห็นด้วยกับการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีของไทย ซึ่งตรงนี้จะเป็นการเปิดเวทีเพื่อพูดคุย 2. “ผู้นำมาเลเซีย” สื่อสารมาชัดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันยืนยันว่าเห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะสนับสนุนไม่ให้เกิดการแบ่งแยกดินแดนในประเทศไทย
3. ทางมาเลเซียยืนยันว่าจะไม่ให้ผู้ที่ก่อให้เกิดการก่อเหตุร้ายหลบซ่อนอยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ฉะนั้นตรงนี้จึงเป็นข้อจำกัดของผู้เคลื่อนไหว ให้การเคลื่อนที่ของผู้ก่อเหตุรุนแรงในประเทศไทย 4. ไทยจะใคร่ขอคำแนะนำ ขอความร่วมมือแก่นายกรัฐมนตรีมาเลเซียแน่นอน เพราะเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง และที่สำคัญที่สุด 5. เมื่อมีการตกผลึกจากการที่เราต้องเข้าสู่ประชาคมอาเซียนร่วมกัน “นายกฯ มาเลเซีย” จึงบอกว่าพื้นที่ที่มีความขัดแย้งของสมาคมอาเซียนไม่เฉพาะประเทศไทย ไม่ควรมี
สุดท้าย “พล.ท.ภราดร” สรุปว่า “ผู้นำมาเลเซีย” ยินดีที่จะร่วมให้คำแนะนำ เกื้อกูลในการแก้ไขปัญหาซึ่งกันและกัน
แต่หากพิจารณาประเด็นข้อเสนอของ “นายกฯ ราจิบ” จะพบว่าเป็นข้อเสนอเก่าและเป็นสิ่งที่ไทยกับมาเลเซียรับรู้มาตลอดว่าควรปฏิบัติอย่างไร แต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมขึ้นมาได้เลย ความสำเร็จร่วมกันในการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงไม่เกิดขึ้น
ที่สำคัญใน “ทางลับ” ว่ากันว่าข้อเสนอของ “คณะไทย” ที่ยื่นให้กับ “คณะมาเลเซีย” พิจารณาหลายข้อเสนอ แม้ไม่ถูกไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ตอบรับ ที่จะดำเนินการตามที่ “คณะไทย” เสนอให้พิจารณา
สังเกตได้จากอาการของ “ร.ต.อ.เฉลิม” ที่ปกติจะเป็น “คนขี้โม้” แต่การให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนภายหลังจากเดินทางกลับมาจากการหารือ กลับสงบปากสงบคำราวกับว่า กลัวพิกุลจะร่วงออกจากปากไปซะอย่างนั้น บอกแค่เพียงว่าเป็น “ความลับ” ไม่สามารถพูดได้
ว่ากันว่าข้อเสนอของ “ฝ่ายไทย” ทั้งขอให้ทางการ
“มาเลเซีย” เข้มงวดกวดขันในการตรวจตราคนเข้าเมือง โดยเฉพาะบริเวณแนวชายแดนที่เป็นภูเขา เนื่องจาก “กลุ่มก่อความไม่สงบ” มักใช้ช่องเส้นทางภูเขาหลบเข้าไปใน “มาเลเซีย” ภายหลังออกก่อเหตุเพื่อหลบซ่อนตัวเป็นประจำ และการขอให้ช่วยตรวจค้นเส้นทางการขนอาวุธชนิดต่างๆที่ “กลุ่มก่อความไม่สงบ” นำมาใช้ก่อเหตุในพื้นที่ รวมกับอีกหลายข้อ ซึ่ง “มาเลเซีย” ไม่ตบปากรับคำที่จะดำเนินการให้
จากความผิดหวังดังกล่าวทำให้ “ร.ต.อ.เฉลิม” ต้องเปลี่ยนแผนด้วยการขอเข้าพบ “ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด” อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียมอบหมายให้ “ดร.มหาเธร์” ดูแลด้านพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนมาเลเซียและไทย โดยกำลังรอคำยืนยันอยู่ว่าจะอนุญาตให้เข้าพบหรือไม่
เชื่อว่า “รองฯ เหลิม” ต้องการให้ “ดร.มหาเธร์” นำข้อเสนอของ “ไทย” ไปช่วยกล่อม “นายกฯ ราจิบ” อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งจะมีข้อเสนอใหม่ๆพ่วงเข้าไปด้วย เช่น การกำหนดพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน จากเดิมที่มีอยู่แล้วให้เพิ่มพื้นที่ขึ้น เป็นต้น
ซึ่งต้องลุ้นกันตัวโก่งว่าจะได้ผลมากน้อยแค่ไหน
แต่ที่ไม่ต้องลุ้นคือภาพที่ “สารวัตรเหลิม” หน้าแดงก่ำจากการดวดไวน์กับเพื่อนเก่า 5 คน 8 ขวด จนมีภาพหลุดออกมาว่อนโลกไซเบอร์ แม้เจ้าตัวจะปฏิเสธว่าไม่ได้เมา และเป็นการสังสรรค์กับเพื่อนเก่าที่นานๆ เจอครั้ง แต่ทั้งหมดก็แทบจะทำให้ “ภาพลักษณ์” ของประเทศไทยป่นปี้ในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะชาติมุสลิม
เพราะเป็นที่รู้กันว่า “มาเลเซีย” เป็นดินแดนที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถือศาสนา “อิสลาม” ซึ่งจะเคร่งเรื่องการดื่มของมึนเมามาก เรียกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ของคน “มาเลเซีย” ที่นับถือศาสนา “อิสลาม” ไม่ดื่มของมึนเมา แต่ยังมีคนมาดื่มของมึนเมาในประเทศแล้วถูกนำเผยแพร่นั้น
ทำให้ “มาเลเซีย” เสียภาพลักษณ์ในสายตา “โลกมุสลิม” ด้วยกันอย่างแน่นอน
งานนี้ “ร.ต.อ.เฉลิม” งานเข้าอย่างจัง เพราะเครดิตที่ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ยังจะทำให้ตัวเองเสื่อมเสียขึ้นมาอีก ก็ยิ่งลดเครดิตของตัวเองให้ต่ำลงไปเข้าขั้นวิกฤตเข้าไปอีก หากรังจะเดินหน้าเจรจากับ “มาเลเซีย” ต่อไป เห็นทีจะยากที่จะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่
ฟันธงได้เลยว่า เวลา 1 ชั่วโมง 5 นาที ที่คณะใหญ่หารือกัน หรือที่แยกกันไปหารือกันหลายวง คงไม่มีทางพอสำหรับการแก้ไขปัญหาความไม่สงบ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้อย่างแน่นอน