“สุรพงษ์” ขู่ฟ้องคนกล่าวหาเอาคดีเขาพระวิหารไปแลกกับผลประโยชน์ทับซ้อนทางทะเล พลิกลิ้นไทยมีโอกาสชนะสูง แต่ต้องเผื่อใจไว้ เตรียมส่งคนไปคุยทีมกฎหมายเดือน ก.พ. แล้วนำเข้า ครม.เมษาฯ ก่อนสู้คดีศาลโลก 15-19 เมษาฯ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงความพร้อมในการสู้คดีเขาพระวิหารกับกัมพูชาว่าจะส่งคนไปคุยกับทีมกฎหมายใหญ่ในเดือน ก.พ. แล้วจะเอาเข้าประชุมใน ครม.ประมาณต้นเดือนเมษายน ก่อนที่จะต้องไปขึ้นศาลโลกเพื่อสู้คดีกับกัมพูชา ในวันที่ 15-19 เมษายน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่สามารถบอกแนวทางการต่อสู้ของไทยได้เพราะทางกัมพูชาจะรู้หมด แต่ถ้าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมตนจะมาเล่าให้ประชาชนได้ฟัง ซึ่งทุกอย่างทีมทนายของไทยได้คุยกันหมดแล้ว แล้วทีมทนายไม่ได้ต่อสู้อย่างที่มีนักวิชาการบางคนพูด ส่วนตัววอนนักวิชาการบางคนว่าอย่าคิดว่ารู้มากเพราะมันอาจไม่เป็นไปตามที่คิด ยิ่งที่ผ่านมาก็ปรากฏชัดว่ามีกลุ่มคนบางกลุ่ม พยายามปลุกระดม ปลุกปั่นกรณีเรื่องเขาพระวิหารล้มรัฐบาลมาแล้ว แล้วก็ทำสำเร็จด้วย
รมว.ต่างประเทศยืนยันว่า เรามีโอกาสชนะคดีอยู่มาก แต่ก็ต้องเผื่อใจไว้ หากวันนั้นศาลโลกตัดสินหากตัดสินออกมาไม่ตรงใจกับไทยเรา ผมรู้และคิดไว้ตั้งแต่แรก ตั้งแต่มารับตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ ผมทราบแล้วว่า เผือกร้อนอยู่ในมือตนแน่นอน ยืนยันว่าความผิดทั้งหมดไม่ได้เกิดในสมัยตนเป็น รมว.ต่างประเทศ หรือเกิดในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างรัฐบาลที่แล้วก็ไปทะเลาะกับเขา แทนที่จะต้องหารือพูดจากันดี ความจริงความผิดเกิดมานานแล้วตั้งแต่ปี 2505
“รัฐบาลชุดนี้ทั้งผมและนายกรัฐมนตรีถึงกับเคยไปพูดกับสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ว่าขอให้ถอนคดีเขาพระวิหารที่กัมพูชาฟ้องไทยไปที่ศาลโลกออกมาได้หรือไม่ แต่สมเด็จฯ ฮุน เซน ท่านก็บอกว่าคดีขึ้นศาลไปแล้วก็ขอให้จบในชั้นศาลดีกว่า ท่านฮุน เซน ยังเคยพูดเลยว่าถ้าเป็นรัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศไทยตั้งแต่แรก เรื่องก็คงไม่ต้องถึงศาลโลกหรอก ต้องเข้าใจอย่าง การฟ้องร้องคดีแล้วก็ต้องให้คดีไปให้ถึงที่สุดให้ศาลโลกพิจารณาไป เพราะกัมพูชาเองก็ต้องดูแลประชาชนและประเทศของเขา”
นายสุรพงษ์กล่าวว่า รัฐบาลนี้เราก็ฟังประชาชน แต่เราต้องอยู่บนข้อเท็จจริง ในอนาคตประเทศไทยก็จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เรื่องเขตแดนแทบไม่มีความหมาย อย่างบ้านบางหลังใน สหภาพยุโรป (อียู) ที่ตั้งอยู่คาบเกี่ยวเขตแดนก็ไม่ต้องถึงกับต้องไปผ่าบ้านเขาเลย
รองนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ส่วนตัวยอมรับว่ามีข้อกังวลอยู่ รู้ว่าผลลัพธ์กรณีเขาพระวิหารอย่างที่บอกก็มีออกมาได้ 2 ทาง คือ 1. ชนะคดี คือไทยชนะ ศาลโลกไม่รับคำฟ้อง เรื่องเขตแดน นั่นก็คือออกมาเสมอตัว เหมือนเมื่อ ปี 2505 ทุกอย่างก็กลับไปเหมือนเมื่อปี 2505 2. ถ้าไทยแพ้คดี ศาลโลกเห็นด้วยกัมพูชา นั่นคือเราสูญเสีย สมมติว่าถ้าตัดสินตรงข้าม เราเกิดแพ้จริง สังคมไทยอาจรับไม่ได้ ยิ่งในตอนนี้ก็มีกลุ่มคนบางกลุ่มมีความคิดไม่ยอมรับอำนาจศาล แล้วก็นำเรื่องนี้มาปลุกปั่นยุยงให้ประชาชนล้มรัฐบาล มันก็น่าเป็นห่วง
“อย่างที่กลุ่มคนกล่าวอ้างว่าเราไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกก็ได้ ผมก็ไปตรวจสอบข้อมูลตัวอย่างประเทศอื่นมาแล้ว คือไทยเราอยู่ภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ หากไม่รับอำนาจศาลโลก ไทยอาจโดนคว่ำบาตรได้ หรือถ้าเกิดสู้รบกันจริงก็อาจเกิดปัญหา สหประชาชาติอาจส่งกำลังทหารเข้ามาเพื่อยุติไม่ให้เกิดการปะทะกันหรือไม่ เป็นเรื่องน่าคิด อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเสียงส่วนใหญ่ของไทยเอาอย่างไรก็ต้องว่ากันไปตามนั้น แต่ส่วนตัวก็ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงขึ้น”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำประชามติไปเลยว่าคนไทยเห็นด้วยจะยอมรับอำนาจศาลโลกหรือไม่ รมว.ต่างประเทศกล่าวต่อว่า ถ้าจะถามเรื่องประชามติ แค่แก้รัฐธรรมนูญยังปวดหัวเลย เรื่องเขาพระวิหาร ยิ่งหนักกว่าหรือไม่ ท่านนายกฯ ก็เป็นห่วงเรื่องนี้ ท่านถึงกำชับมาว่าสิ่งใดจำเป็นที่ต้องบอกประชาชนก็ต้องบอกให้เข้าใจ
“ขนาดผมบอกผลลัพธ์สุดท้ายว่าไทยมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง ก็ยังมีคนไปตีความกลายเป็นว่าไปยอมแพ้เขาแล้ว เอาพระวิหารเรื่องนี้ไปแลกกับผลประโยชน์ทางทะเล ยืนยันไม่มีกรณีนี้แน่นอน เพราะมันเป็นเผือกร้อนมาก รัฐบาลนี้ยังไม่ได้ไปแตะอะไรเลย ขณะเดียวกันยอมรับว่าผมกำลังให้ทีมกฎหมายพิจารณาฟ้องหมิ่นประมาทแน่กับกลุ่มคนบางกลุ่มไม่กี่คนที่ไปร้องว่าผมไปรับหรือมีผลประโยชน์แอบแฝงในเรื่องนี้ ซึ่งยืนยันว่าไม่มีแน่ ก็ไม่อยากให้สังคมไทยเป็นแบบนี้ คนไม่กี่คน เอาเรื่องนี้ ไปปลุกระดม ปลุกปั่นจนทำให้ประเทศเกิดความวุ่นวาย ส่วนตัวอยากเห็นความสงบสุข ก่อนไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน”