ผ่าประเด็นร้อน
หลายคนอาจจะรู้สึกคันปาก อยากจะพูดใส่หน้านายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่กล่าวทางวิทยุโทรทัศน์ในโอกาสปีใหม่ โดยขอให้ประชาชนคิดบวกเพื่อร่วมมือกันพัฒนาประเทศว่า คนที่น่าจะคิดบวกก่อนใครก็คือ “ตัวเธอ” นั่นแหละ เพราะในฐานะผู้นำรัฐบาลคิดทำงานบริหารบ้านเมืองเพื่อคนส่วนใหญ่ จัดการกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชันอย่างเอาจริงเอาจัง แทนที่จะรับใช้สนองผลประโยชน์ของพี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร เพียงอย่างเดียว หรือเพียงแค่อยู่เฉยๆ รับรองว่าทุกอย่างในบ้านเมืองนี้ก็เริ่มมีแนวโน้มที่ดีแล้ว
หากยังจำกันได้ เมื่อปลายปีที่ผ่านมาสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลลงมติตั้งฉายารัฐบาลชุดนี้ว่า “รัฐบาลพี่คนแรก” ความหมายก็คือ ความคิดที่อยู่ในหัวสมองล้วนแล้วแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของพี่ชาย คือ ทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น หรือแม้แต่ตัว ยิ่งลักษณ์เองก็ยังได้ฉายา “ปูกรรเชียง” เลย ซึ่งก็หมายถึงเอาแต่ลอยตัวชิ่งหนีปัญหา วันๆ เอาแต่แต่งตัวเฉิดฉายแค่นั้น ไม่ได้มีแก่นสารอะไรเลย
ทั้งฉายาของรัฐบาล และตัวนายกรัฐมนตรี ที่สะท้อนโดยสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล ถือว่าสะท้อนความหมายและตัวตนได้ดีที่สุด เพราะถือว่าอยู่ใกล้ชิดกับนักการเมืองฝ่ายบริหารที่เป็นศูนย์อำนาจมากที่สุด ขณะเดียวกันยังเป็นการชี้ให้เห็นว่าสื่อมวลชนส่วนใหญ่พวกนี้สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ดีพอสมควร แม้ว่าอาจจะมองว่าเป็นการใช้คำที่ไม่รุนแรง ไม่สะใจระดับฮาร์ดคอร์ แต่ก็คือสื่อออกมาได้ตรงพอสมควร ทำให้สังคมมองเห็นภาพ
ที่สำคัญเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งพฤติกรรมและคำพูดของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตลอดการเป็นผู้นำฝ่ายบริหารและรัฐบาล “ไม่ได้คิดบวก” แต่คิดแต่จะทำเพื่อประโยชน์ของคนเพียงคนเดียว คือ ทักษิณ ชินวัตร รวมไปถึงคนในครอบครัว ดังที่สื่อได้ตั้งฉายาเอาไว้
อย่างไรก็ดี การออกมากล่าวกับประชาชนในโอกาสวันปีใหม่ของนายกรัฐมนตรี หลายคนอาจไม่ได้ให้ความสำคัญหรือสนใจ เนื่องจากเป็นแค่ธรรมเนียม และตัวนายกฯ ก็อ่านไปตามโพยโดยที่ตัวเธออาจจะไม่รู้ และไม่ได้จำด้วยซ้ำไปว่าได้กล่าวอะไรไปบ้าง หรือที่พูดออกไปมีความหมายอะไรบ้าง
เพราะขณะที่เธอกำลังพูดว่าให้ชาวบ้าน “คิดบวก” เพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศ แต่ข้างนอกบรรดานักการเมืองทั้งในรัฐบาล พรรคเพื่อไทย รวมไปถึงคนในพรรคร่วมรัฐบาลต่างเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่าเพื่อความปรองดองในชาติ กลายเป็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหา ไม่ใช่นักการเมืองมีปัญหา อ้างว่าถ้าไม่แก้ไขหรือฉีกทิ้งไปแล้วร่างใหม่ก็สร้างความปรองดองไม่ได้
เพราะล่าสุดแม้กระทั่งคนอย่าง บรรหาร ศิลปอาชา นักการเมืองที่คนภายนอกมองว่าร่ำรวยมาจากการเมือง หรือนักธุรกิจการเมือง ก็ออกมาสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่ โดยอ้างเหตุผลที่คิดว่าฉลาดเต็มทนว่าเพื่อความปรองดองเช่นเดียวกัน
คนพวกนี้ยังคิดว่าชาวบ้านเขายังโง่ล้าหลังกว่าตัวเอง ยังสามารถหลอกใช้ได้เหมือนเดิม ซึ่งก็อาจจะจริง เพราะยังมีคนหลงใหลได้ปลื้มอยู่ไม่น้อย แต่ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งสังคมได้เปลี่ยนไปไกลแล้ว โลกของการสื่อสาร การเข้าถึงข้อมูล การบันทึกเหตุการณ์ในอดีตว่าใครทำอะไร ใครเคยโกงมีเส้นทางความร่ำรวยมาอย่างไร สามารถค้นหาได้ฉับไว โลกของโซเชียลมีเดีย มีการแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างออกรส กลายเป็นว่านักการเมืองนั่นแหละเป็นฝ่ายล้าหลังและถูกมองอย่างน่ารังเกียจ ไม่เว้นแม้กระทั่งสื่อมวลชน ถ้าออกนอกลู่นอกทางก็เริ่มมีเสียงวิจารณ์ไม่ยอมรับมากขึ้น บรรยากาศเริ่มเปลี่ยนไป หากมองในแง่ดีนี่ก็ถือว่าเป็นนิมิตใหม่ที่น่าสนใจ ที่คนกลุ่มเดิมไม่อาจชี้นำสังคมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิมแล้ว
เหมือนกับคำพูดของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่เรียกร้องให้ชาวบ้านคิดบวก ร่วมมือกันพัฒนาบ้านเมือง หากพิจารณากันแบบผิวเผิน คิดตามแบบโง่ๆ มันก็น่าจะเป็นเรื่องดี สมควรคล้อยตามอย่างยิ่ง แต่ในความเป็นจริงมันตรงกันข้าม เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่ต้นก็คือตัวนายกฯและรัฐบาลนั่นแหละต้อง “หัดคิดบวก” ให้ได้ก่อน คิดและทำเพื่อคนส่วนใหญ่ อย่าคิดแต่ประโยชน์ของนักการเมือง และคนในครอบครัวอยู่ตลอดเวลา ตัวนายกฯต้องทำเป็นตัวอย่าง และที่สำคัญต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างกล้าหาญ อย่าพูดไปเรื่อยเปื่อย หรือแค่ “เอาสวย” อย่างเดียว
อย่างไรก็ดี หวังว่าปีใหม่แล้ว นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเปลี่ยนท่าทีให้เห็นว่าได้ทำเพื่อประโยชน์ของชาวบ้าน เป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นหุ่นเชิดของพี่ชายตัวเอง คือ ทักษิณ ชินวัตร หากทำได้ก็ถือว่านี่คือการเริ่มต้นของการ “คิดบวก” แล้ว!!