เกาะกระแส
00 หลังจากปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ มาระยะหนึ่ง วันนี้(27 ธ.ค.) “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ได้เปิดบ้านให้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำทีม ผบ.เหล่าทัพ และ ผบ.ตำรวจ เข้าเยี่ยมคารวะพร้อมขอพรปีใหม่ แน่นอนว่าสำหรับคอการเมืองและนักสังเกตการณ์ทั้งหลายย่อมต้องจับตากันเป็นพิเศษ เพราะว่างานนี้ “ไม่ธรรมดา” แน่นอน
00 เพราะหากพิจารณาทั้งจากคนที่นำเข้าพบ และคนที่ให้เข้าพบ หากมองอีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนกับตัวแทนและสัญลักษณ์บางอย่าง และถ้ามองว่า พล.อ.เปรม เป็นสัญลักษณ์ “อำมาตย์” และ พล.อ.อ.สุกำพล เป็น “ลิ่วล้อ” มีชื่อคนหนึ่งของ ทักษิณ ชินวัตร งานนี้มันก็เป็นการสื่อออกมาในเชิงสัญลักษณ์ ได้เหมือนกัน และยิ่งพิจารณาคำพูดในระหว่างบรรทัดก็ยิ่งมีความหมาย
00 ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าคำพูดของ “ป๋าเปรม” คราวนี้ค่อนข้างตรง และเน้นย้ำแบบ “เนื้อๆ” เน้นในเรื่องของ “ความแตกต่างแต่ไม่แตกแยก” แยก “ชาติบ้านเมือง” ออกจาก “การเมือง” ย้ำในเรื่องของ “สัญญาประชาคม” ของ ผบ.ทบ.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และประชาชน และแสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเองยังเป็นทหาร เมื่อกองทัพหรือทหารเจ็บก็พลอยเจ็บไปด้วย
00 การเปิดบ้านสี่เสาของ พล.อ.เปรม เหมือนกับการ “กลับมาอีกรอบ” หลังจาก “จัดระเบียบภายใน”กันเรียบร้อยแล้ว ถ้ามองกันแบบพิเศษก็ต้องบอกว่าทุกอย่างล้วนมีความหมาย ตั้งสีเสื้อที่ใส่ คือ “สีแสด” เป็นการผสมระหว่างสีเหลืองกับแดง การเน้นย้ำสัญญากับ ผบ.ทบ.และความเจ็บปวดของกองทัพ เป็นต้น และงานนี้เหมือนกับว่ากลับมาอย่างมั่นใจ มั่นคงและหนักแน่นกว่าเดิม และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่าฉายาเดิมของ พล.อ.เปรม ในอดีตก็คือ “นักฆ่าลุ่มน้ำเจ้าพระยา” ด้วยสิ
00 สำหรับการแก้ไขรธน.โดยเฉพาะการทำประชามตินั้นแน่นอนว่านาทีนี้ต้องยื้อออกไปไม่มีกำหนด แม้ว่าจะมีการนัดหารือกันในหมู่คณะทำงานพรรคร่วมในต้นเดือนม.ค.แต่ก็ใช่ว่าจะมีข้อสรุปออกมา เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรก็ต้องมีการทำประชามติแน่ๆ ส่วนจะมีความหมายแบบไหนแบบมีผลบังคับที่ต้องได้เสียงรวมกันเกิน 24 ล้านเสียงหรือไม่ต้องจับตาใกล้ชิด แต่เท่าที่ฟังจากปากของ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ย้ำว่าต้องทำประชามติก่อนแก้ไข หากไม่ผ่านก็ไม่เป็นไรเพราะจะไปแก้รายมาตราได้อีกครั้ง
00 ในความเป็นจริงแล้วมันจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้ เพราะมันมีเรื่องของการ “ผลาญงบ” เข้ามาเกี่ยวข้องนั่นคือต้องใช้เงินกว่า 2 พันล้านบาทสำหรับทำประชามติ ไหนจะใช้งบเกี่ยวกับ “ประชาเสวนา” อีกสองสามร้อยล้านบาทมันไม่ใช่น้อย และหากไม่ผ่านขึ้นมาจริงๆ รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้หรอก ไม่ใช่บอกว่าพอไอ้นี่ไม่ผ่านเดี๋ยวก็ไปแก้ไขอีกแบบหนึ่ง คิดแบบนั้นมันไม่ “มักมาก” ไปหน่อยหรือ แต่เท่าที่ประเมินอารมณ์ดูแล้วเชื่อว่า “ไม่หมู” อย่างที่ ทักษิณ ชินวัตร โม้เอาไว้แน่นอน และนี่แหละทำให้เห็นแววว่าต้องยื้อออกไปแบบไม่มีกำหนด เชื่อเถอะ เพราะทุกอย่างไม่เป็นใจ เอาง่ายๆขนาดฉายารัฐบาลยังบอกว่า “รัฐบาลพี่คนแรก” เลย ทำทุกอย่างเพื่อแม้ว มันก็ “กรรเชียง” ยากหน่อยนะ “น้องปู” !!