“ประพันธ์” ขอลาออกจากแกนนำพันธมิตรฯ ช่วย “เสรีพิศุทธ์” สู้ศึกผู้ว่าฯ กทม. แจงเหตุหนุนเพราะเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในบรรดาผู้สมัครอิสระด้วยกัน ย้ำพรรคการเมืองในปัจจุบันล้มเหลว ผู้ว่าฯ สังกัดพรรคไม่อาจเป็นที่พึ่งแก่ประชาชนได้ พร้อมยันความเป็นพันธมิตรฯ จะยังอยู่ในเลือดเนื้อและชีวิตตลอดไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 22ธ.ค. เมื่อเวลาประมาณ 02.00 น. นายประพันธ์ คูณมี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ประพันธ์ คูณมี ถึงเหตุผลสำคัญที่เลือกสนับสนุน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม. ดังนี้
“การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ จะเป็นการแข่งขันระหว่างผู้สมัครที่สังกัดพรรคการเมือง กับผู้สมัครอิสระที่ไม่สังกัดพรรคการเมือง การใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งนี้จึงมีความหมายและความสำคัญต่อคน กทม. สำหรับผมเห็นว่าการใช้สิทธิเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมมีหลักพิจารณาว่า เราจะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่คน กทม. และประเทศชาติ ทั้งเพื่อเป็นการใช้สิทธิ และทำหน้าที่ของตนเองให้เกิดประโยชน์และเป็นผลดีที่สุด ผมจึงตัดสินใจสนับสนุนคุณเสรีพิศุทธ์ ด้วยเหตุผลดังนี้
1. กทม.เป็นมหานครขนาดใหญ่ มีรูปแบบการบริหารแบบพิเศษ โดยเจตนารมณ์ที่ต้องการให้มีคณะผู้บริหาร กทม. บริหารโดยยึดเอาประชาชน กทม.เป็นที่ตั้ง มุ่งแก้ไขปัญหาของเมืองและท้องถิ่นเป็นสำคัญ ผลประโยชน์ของประชาชนคือเป้าหมายสูงสุด ต้องอยู่เหนือผลประโยชน์ของกลุ่ม หรือพรรคการเมืองใดๆ
2. การเมืองโดยระบบพรรคการเมืองของไทยที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถือเป็นการเมืองที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง หากปล่อยให้ กทม.อยู่ใต้อำนาจการครอบงำของพรรคและนักการเมือง โดยเฉพาะพรรคใหญ่สองพรรค ที่ต่างแก่งแย่งแข่งขันชิงอำนาจกัน เพียงหวังใช้ กทม.เป็นฐานอำนาจทางการเมือง โดยเอาคน กทม.เป็นตัวประกัน ก็มีแต่จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ เพราะผู้ว่าฯ ที่อยู่ใต้สังกัดพรรคการเมือง ย่อมตกอยู่ภายใต้การบังคับบงการของพรรคการเมือง ซึ่งล้วนแต่ไม่อาจเป็นที่พึ่งแก่ประชาชนได้
3. การมีผู้ว่า กทม.ที่เป็นอิสระ โดยได้รับคะแนนสนับสนุนส่วนใหญ่ใน กทม. จะทำให้ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจโดยแท้จริง และผู้ว่าฯ กทม.คนดังกล่าวย่อมมีความเชื่อมโยงผูกพันกับประชาชน โดยไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมือง หรืออิทธิพลอื่นใด ย่อมทำให้ผู้ว่าฯ เคารพประชาชน ทำงานโดยยึดถือผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ เพราะประชาชนเป็นนายของผู้ว่าฯ มิใช่พรรคการเมือง ที่จะมากำกับบงการได้
4. ณ สถานการณ์ปัจจุบัน เป็นที่ทราบการดีว่าประชาชนทั้งหลายล้วนเอือมระอา และเบื่อหน่ายต่อพรรคและนักการเมืองในปัจจุบัน ด้วยเห็นพฤติกรรมและธาตุแท้ของพรรคและนักการเมืองทั้งหลายเหล่านั้น ว่ามิได้ยึดถือผลประโยชน์ประชาชนเป็นสำคัญ ต่างต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันเพียงเพื่ออำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น หาได้มีความจริงใจต่อประชาชนไม่ ประชาชน กทม. ส่วนใหญ่ต่างเอือมระอาและเบื่อหน่ายพรรคและนักการเมืองเหล่านั้น จึงน่าจะเป็นโอกาสที่ดีสำหรับประชาชน ที่จะเลือกสนับสนุนผู้สมัครอิสระ เพื่อเป็นการสั่งสอน และส่งสัญญาณให้พรรคและนักการเมืองเหล่านั้นได้พึงสังวร และปรับปรุงตัวเอง
5. เมื่อผมเห็นว่าควรสนับสนุนผู้สมัครอิสระมากกว่าพรรคการเมือง และคุณเสรีพิศุทธ์เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดในบรรดาผู้สมัครอิสระด้วยกัน ทั้งโดยส่วนตัวผมรู้จักและเห็นผลการทำงานที่ผ่านมาที่ผมยอมรับได้ ประกอบกับเป็นบุคคลที่มีความจงรักภักดีอย่างสูงยิ่งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ผมจึงสนับสนุน
6. ผมทราบดีว่าคนเรามีจุดแข็งจุดอ่อน มีข้อดีข้อเสียในตัวเองด้วยกันทุกคน มีคนรักและมีคนเกลียด มีความดีและความไม่ดีมากน้อยต่างกัน สุดแท้แต่ทัศนคติและเหตุผลมุมมองของแต่ละท่าน คงไม่มีใครดีสมบูรณ์ที่สุด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมให้ความมั่นใจกับพี่น้องได้ คือ เมื่อผมทำงานกับใคร เราจะทำงานร่วมกันในสิ่งที่ถูกต้องและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ และประชาชน ผมจะไม่ยอมให้ความไม่ถูกต้องหรือการทุจริตคดโกง สร้างความเสียายแก่ประชาชนเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด นี่คือเหตุผลสำคัญที่ผมเลือกสนับสนุนเสรีพิศุทธ์ สมควรได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม. อย่างไรก็ตาม ผมเคารพความคิดเห็นและดุลพินิจของพี่น้องประชาชนทุกคน กทม.เป็นของพวกเราทุกคน อำนาจและสิทธิการตัดสินใจเป็นของท่านทุกคนครับ
7. เมื่อได้ตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ผมจึงจำเป็นต้องขอลาออกจากการเป็นแกนนำของพันธมิตรประชาชนฯ เพื่อให้เกิดความชัดเจน เพราะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เป็นงานเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น เป็นคนละบทบาทและหน้าที่ แต่ความเป็นพันธมิตรฯ จะยังอยู่ในเลือดเนื้อและชีวิตของผมตลอดไป”