“อภิสิทธิ์” เผย ไอ้ปี๊ดป่วนพบนักศึกษาไทยในลอนดอน อึ้ง “มติชั่ว” หยั่งรู้ลงข่าวล่วงหน้า ซัด “ธาริต” ความจำสั้นกลับขาวเป็นดำ บรรยายฟ้องครอบคลุม 98 ศพ แต่ฟ้องแค่คดี “พัน คำกอง” หมายปั่นเป็นหลายคดี เชื่อไม่แจ้งข้อหาในฐานะนายกฯเหตุกลัวคดีอยู่ในมือ ป.ป.ช.ที่คุมไม่ได้ เย้ยวิปริต “ดีเอสไอ” คดีใหญ่ไม่ดันทำคดีหักเงินเดือน ส.ส.เข้าพรรค ท้า “แม้ว” กลับมาติดคุก บ้านเมืองจะได้เดินได้
วันนี้ (15 ธ.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวบนเวที “เดินหน้า ผ่าความจริง สจฺจํ เว อมตา วาจา ความจริงไม่มีวันตาย” ที่ตลาดริมน้ำศาลายา ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม ว่า ความพยายามของรัฐบาล ความพยายามของ นปช.คนเสื้อแดง ความพยายามของผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะสกัดกั้นทำลายผม และคุณสุเทพนั้นมีอย่างต่อเนื่อง อาทิตย์ที่แล้ว เราไปเปิดเวทีกันที่ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่ปทุมธานี ผมนั้นไม่มีคิวจะไปหรอกครับ แต่ว่าเป็นห่วงเป็นใยพี่น้องที่ต้องฝ่าด่านของเสื้อแดง เพื่อที่จะไปฟัง แล้วก็พอมีข่าวว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ จะมาแจ้งข้อหาผมกับคุณสุเทพ ผมก็กลัวว่าถ้าผมไม่ไป จะกลายเป็นว่าผมถอย ผมหนี ผมก็เลยต้องเดินทางไป ทั้งๆ ที่ขณะนั้นมีภาระทั้งที่จะต้องไปเป็นประธานแต่งงาน แล้วก็ค่ำวันเดียวกันก็ต้องเดินทางไปที่ประเทศอังกฤษ ตามที่ได้รับเชิญเอาไว้ล่วงหน้า
ไปขึ้นเวทีที่รังสิต ลงจากเวทีขึ้นรถเพื่อที่จะไปเป็นประธานแต่งงาน ทราบว่า คนเสื้อแดงพยายามบุกเข้าไปในจุดที่มีการปราศรัย คือ บุกเข้าไปในมหาวิทยาลัยนั้น ตั้งแต่ตอนที่ผมพูดอยู่ เสร็จแล้วระหว่างที่ผมพูด ก็พยายามที่จะบุกเข้าไปในอาคาร ไปในเวทีที่เราปราศรัยกันอยู่ แล้วผมก็มาทราบทีหลังว่า หลังจากที่ผมเดินทางออกมาแล้ว พยายามเข้าไปค้นหาตัวผม เข้าไปตามตึก ตามอาคารต่างๆ ของมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเป็นภาพที่ทำให้พี่น้องประชาชนจำนวนมากมองว่า นี่เหรอครับคือคนที่อ้างว่าต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่สามารถที่จะทนการพูดความจริงของพวกเราบนเวทีนี้ได้ ต้องพยายามไปขัดขวางทุกทาง แต่ผมก็ต้องขอบคุณพี่น้องประชาชนในวันนั้นที่ตั้งใจปักหลัก ฟังการปราศรัยบนเวทีผ่าความจริงจนจบ แล้วก็ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ที่พยายามรักษากฎหมาย แล้วก็ควบคุมตัวคนที่ผิดข้อตกลงกลับไป
แต่ผมอยากจะบอกกับพี่น้องนะครับ หลายคนไม่ทราบ ไอ้ความพยายามขัดขวางผมนี่ ทำกันเป็นระบบไปทุกที่ ผมขึ้นเครื่องบินคืนวันเสาร์ ไปถึงกรุงลอนดอนเช้าวันอาทิตย์ กำหนดการแรกที่เป็นทางการก็คือในบ่าย หรือเย็นวันนั้นผมจะต้องเดินทางไปที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน เพื่อพบปะกับนักศึกษาไทย ซึ่งเมื่อมีการจัดรายการนี้มีนักศึกษาไทยจำนวนประมาณเกือบ 300 คนครับที่อยู่ที่ประเทศอังกฤษ รวมทั้งชาวต่างประเทศที่ต้องการไปฟังการบรรยายของผม ลงจากเครื่องนั่งรถจากสนามบินยังไม่ทันถึงกรุงลอนดอนเลยครับ นักศึกษาที่จะจัดรายการเขียนจดหมายอิเล็กทรอนิกส์มาถึงเลขาผม บอกว่า มีการไปบอกกับนักศึกษากับมหาวิทยาลัยว่า ผมนั้นถูกแจ้งข้อหาเป็นฆาตกร มหาวิทยาลัยไม่ควรที่จะยอมให้ผมไปใช้สถานที่เพื่อพบปะกับนักเรียน แล้วก็ขู่ว่าจะฟ้องมหาวิทยาลัย ฟ้องนักศึกษา ถ้าจัดรายการต่อไป
ผมเห็นใจครับนักศึกษานี่เขาก็ไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อน ตอนแรกก็วิตกกังวลว่าจะจัดได้หรือไม่ บังเอิญ คุณกรณ์ จาติกวณิช เดินทางไปก่อนผม 1 คืน จึงได้มีโอกาสพูดคุยทางโทรศัพท์กับนักศึกษาที่จัดรายการ แล้วก็บอกว่าถ้าไปยอมต่อสิ่งเหล่านี้ ทั้งที่ความเป็นจริงข้อที่ 1 ผมยังไม่ได้ถูกแจ้งข้อหาเลย และ ข้อที่ 2 ถึงแม้ผมถูกแจ้งข้อหาแล้ว กฎหมายก็ยังสันนิษฐานว่าผมเป็นผู้บริสุทธิ์ ผมไม่ใช่นักโทษหนีคดี
และผมเดินทางไปอังกฤษ ผมก็ยืนยันว่าผมกลับมารับแจ้งข้อกล่าวหาแน่ เพราะผมไม่ใช่คนขี้ขลาดที่จะหลบหนีไปไหน แต่ 2 อาทิตย์ก่อนหน้า ศาลตัดสินคนบางคนให้จำคุก 2 ปีแล้ว เขายังไปพูดที่มหาวิทยาลัยอีกแห่งนึงได้ ผมไม่เอ่ยชื่อมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นนักศึกษาเขาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นเขาเดินหน้าจัด เชื่อมั้ยครับว่า ไอ้คนที่พยายามสกัดกั้น ยังไม่ยอมหยุด แถมผมก็มาทราบภายหลังว่า หนังสือพิมพ์ไทยไปลงข่าวคิดว่าทำสำเร็จแล้ว ลงข่าวล่วงหน้าด้วยว่ามหาวิทยาลัยไม่ยอมให้ผมไปพูด ผมไม่ให้รางวัลหรอกว่า หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นชื่ออะไร แต่ใบ้ให้ว่าอยู่ในเครือมติชั่ว ข่าวอะไรซักอย่างผมไม่ทราบ ข่าวโสโครก ไม่เคยได้ยิน ได้ยินแต่ ข่าวปด ลงไว้ล่วงหน้า กะว่าสกัดกั้นได้ พอนักศึกษาจะเดินหน้าต่อ คนที่เป็นเครือข่ายเสื้อแดง ก็ไปติดต่อนักศึกษาอีก บอกว่าให้ผมพูดที่อังกฤษจะพาตำรวจอังกฤษมาจับตัวผม โดยอ้างว่าผมมีสัญชาติอังกฤษ เพราะฉะนั้นตำรวจอังกฤษมีสิทธิ์จับไปดำเนินคดี นักศึกษาก็เลยเผลอพูดออกไปครับบอกว่า ถ้าอย่างนั้นคุณซึ่งลงทะเบียนว่าจะมาฟัง ไม่ต้องมาฟังแล้ว เพราะถือว่าคุณมีเจตนามาป่วน ทีมงานของคุณกรณ์พอทราบข่าวนี้ก็เพียงแต่ไปขึ้นเฟซบุ๊กบอกว่ามีคนๆ นี้มาขู่ว่าจะเอาตำรวจมาจับผม ถ้าผมไปบรรยาย ปรากฎว่าหลังจากนั้นไอ้คนนี้ครับ โทรมาโอดครวญกับนักศึกษาว่าพอขึ้นเฟซบุ๊กไปตอนนี้ เฟซบุ๊กของเขานั้นมีแต่คนเข้าไปด่า เข้าไปสาบแช่งเขา แล้วก็พยายามจะมาขู่นักศึกษาอีกบอกว่า ทำอย่างนี้เท่ากับเป็นการไปคุกคามเขา อ้างว่าตัวเองครอบครัวถูกคุกคาม ผมอยากจะถามว่าแล้วที่พวกเสื้อแดงทำกับผมมา 2 ปี 3 ปีนั้นเรียกว่าอะไร
สุดท้ายผมก็ได้บรรยาย มีนักเรียนไทยมาฟัง 200 เกือบ 300 คน มีชาวต่างประเทศมานั่งฟัง แล้วผมก็ไม่ได้ไปพูดอะไรที่จะเป็นปัญหาเลยครับ เพราะผมพูดแต่ความจริงให้นักเรียน นักศึกษาไทยมีความตื่นตัวว่าบ้านเมืองเรา ประเทศเรา ควรจะมีโอกาส ควรจะมีอนาคตที่ดี แต่ทุกวันนี้ต้องมาติดหล่มกับการเมืองที่ไม่ดี มาติดหล่มอยู่กับความขัดแย้ง มาติดหล่มอยู่กับนโยบายที่ทำลายอนาคตตัวเอง เพียงเพราะคนบางคนต้องการที่จะหลุดคดี เพียงเพราะคนบางคนต้องการได้ทรัพย์สินคืน เพียงเพราะคนบางคนต้องการแสวงหาอำนาจ ผลประโยชน์ไม่จบไม่สิ้น
ผมเชื่อว่า นักเรียน นักศึกษาที่นั่นเข้าใจ แล้วก็หลังจากนั้นวันรุ่งขึ้นอย่างที่พี่น้องทราบ ผมก็ไปให้สัมภาษณ์สถานี BBC ซึ่งก็ซักถามแบบฝรั่งละครับ ไม่มีอะไร แต่วันนี้ก็มีคนวิพากษ์วิจารณ์เยอะว่าการตั้งคำถามนั้น ดูว่าจะฟังความ หรือฟังข้อมูลมาเพียงด้านเดียวหรือไม่อย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้กังวลครับพี่น้องครับ ผมเป็นคนที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับสื่อ กับทุกคำถาม เพราะผมมีความมั่นใจในความบริสุทธิ์ ความถูกต้องที่ได้ทำไปในทุกกรณี
แล้วเย็นวันถัดมา ผมก็ไปร่วมงานที่รัฐสภาอังกฤษ แล้วก็เดินทางกลับมาถึงประเทศไทยวันพุธตอนเช้า เพื่อมาพบทนาย เตรียมตัวในการที่จะเดินทางไปกรมสอบสวนคดีพิเศษในวันพฤหัสฯ พอถึงวันพฤหัสฯ ตั้งแต่เช้าเลยครับ มีคนบอกว่า ระวังนะเขาจะใช้แง่มุมทางกฎหมายต่างๆ จะยื่นเงื่อนไข 4 ข้อที่ว่าถ้ายอมรับ ไม่ยอมรับ ก็อาจจะพยายามให้ศาลออกหมายขัง เพราะว่าอ้างว่ามีคนไปร้องต่อดีเอสไอว่าไม่ควรปล่อยตัวผมกับคุณสุเทพ
ผมก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกครับ เพราะว่าผมดูตามเนื้อผ้า ตามกฎหมายแล้ว ผมนึกไม่ออกเลยว่าเขาจะมีเหตุผลอะไรที่จะต้องควบคุมตัวผม เพราะผมไม่เคยมีพฤติการณ์ ไม่ว่าจะเป็นหลบหนี ไม่ว่าจะเป็นไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นิสัยของผม ไม่ใช่นิสัยของคุณสุเทพ
ผมเรียนกับพี่น้องครับ ผมก็มั่นใจของผมว่า เราเข้าไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ แล้วแถมตอนเช้า กรมสอบสวนคดีพิเศษให้ข่าวอีกบอก นายอภิสิทธิ์ มาจะแจ้งอีก 1 ข้อหา ไม่ใช่เรื่องเหตุการณ์ 2553 เท่านั้น แต่ว่าเรื่องการบริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์อีก จะแจ้งอีก 1 ข้อหา ซึ่งผมก็ให้เจ้าหน้าที่พรรค โทรไปทันทีบอก ขอให้แจ้ง เพราะผมได้บอกไปแล้วว่า วันพฤหัสฯ ผมต้องไปให้ถ้อยคำอีกคดีหนึ่งในฐานะพยาน และผมรู้ว่ามันมีค้างอีก 1 คดี และผมรู้ว่าผมจะไปให้การยังไง สุดท้ายก็ต้องแจ้งข้อหาผม ผมก็เลยบอกว่าช่วยส่งหนังสือมาเลยว่าจะแจ้งข้อหาผม ผมจะได้ไป ปรากฏว่า คนที่รับผิดชอบคดีนั้นบอกไม่ยอมส่งหนังสือ เดี๋ยวผมไปถึงจะมาแจ้งถึงตัว ผมก็ไม่มีปัญหาครับ ก็พบปะกับพี่น้องซึ่งไปให้กำลังใจที่พรรค ก็มากินข้าว ก่อนจะเดินทางไป ก็ยังด้วยความมั่นใจละครับว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่มาเอะใจตอนเห็นคุณสุเทพ คือคุณสุเทพกินไม่หยุดเลย ผมก็ถามบอก พี่ ไหนว่าลดความอ้วนไง คุณสุเทพบอกผมบอก เผื่อไว้ซัก 48 ชั่วโมง ทำไม 48 ชั่วโมง เพราะตามกฎหมายนี่ ก่อนที่เขาจะส่งไปศาล เขาควบคุมตัวได้ 48 ชั่วโมง ผมก็เลยชักไม่แน่ใจ แต่ด้วยความมั่นใจละครับว่า พฤติการณ์ของเรามันไม่มีเหตุผลที่จะมาดำเนินการอย่างนี้ ก็เดินทางไปกับคุณสุเทพ ก็ขอบคุณพี่น้องที่ให้กำลังใจส่งขึ้นรถ ลงรถก็มีทั้งฝ่ายเสื้อแดง มีทั้งคนที่ไปให้กำลังใจ คุณธาริตยืนรับอยู่เรียบร้อย ใครที่ฟังเวทีเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ผมก็ต้องขอบคุณว่า คุณธาริตได้ทำตามคำแนะนำผม คือยังไม่เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ส่วนอย่างอื่นเปลี่ยนไปเยอะแล้ว ก็พาขึ้นไปครับ พาขึ้นไป เสร็จแล้วก็จะแจ้งข้อหาผม ผมก็เลยทำความเข้าใจเสียก่อนบอก ตกลงจะแจ้งผมกี่เรื่อง บอกเรื่องเดียว ผมบอกเรื่องเดียวได้ยังไง คุณเพิ่งออกข่าวไปเมื่อเช้าว่าจะแจ้งอีกเรื่องนึง คุณธาริตก็ไปตามหัวหน้าพนักงานสอบสวนไอ้คดีที่ 2 มา แล้วก็มาบอกว่าไม่พร้อมแจ้ง ผมถามว่าทำไมไม่พร้อม แล้วจะพร้อมเมื่อไหร่ บอกอาทิตย์หน้าจะเชิญไปใหม่ ผมบอกอาทิตย์หน้าผมไม่ว่าง
ไม่ได้หนี แต่ผมให้คนโทรศัพท์บอกหมอนี่มาตั้งนานแล้วว่าให้แจ้งวันนี้ เพราะอาทิตย์หน้าพรรคประชาธิปัตย์ไปจัดสัมมนาที่ต่างจังหวัด เขาก็บอกไม่พร้อม ผมบอกแล้วไม่พร้อมคุณให้ข่าวได้ยังไง ถ้าคุณไม่พร้อม คุณลงไปแถลงข่าวใหม่ว่าคุณไม่พร้อมแจ้งข้อหาผม สุดท้ายก็เลยกุลีกุจอไปเอาเอกสารมาเตรียมแจ้งข้อหาผม ให้ผมฟังการแจ้งข้อหาในคดีเหตุการณ์ 2553 ก่อน
ก็คุณธาริตก็บอกจะประหยัดเวลาครับ ข้อหาเนี่ยมันสั้นๆ แต่พฤติการณ์ที่บรรยายการกระทำความผิดนั้นมัน 10 หน้า ก็จะเอาเอกสาร 10 หน้าบอกให้ผม ให้คุณสุเทพ กลับไปอ่าน แล้วถ้ามีความประสงค์จะให้การ จะโต้แย้งอะไรอย่างไร ก็ส่งมาภายหลัง ผมก็เลยบอก เรื่องที่จะรับกลับไปอ่าน หรือจะไปโต้อะไร พวกผมต้องทำอยู่แล้ว แต่อยากให้ทำให้สมบูรณ์ คุณอ่านมาเลยทุกหน้าๆ อ่านทุกตัวอักษร อ่านให้ชัดๆ เผื่อคนอ่านจะละอายแก่ใจว่าเขียนมาได้ยังไง
เพราะพฤติการณ์ที่บรรยายมันเหลือเชื่อ นปช.ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ เคยทำการสอบสวนส่งฟ้องไปว่ากระทำการก่อการร้าย คดีที่คุณชวนนท์ พูดถึงเมื่อสักครู่ ในคำบรรยายแจ้งข้อหาผม เป็นคนที่เรียบร้อยมาก เขาบอก นปช.ชุมนุมปี 2553 เป็นการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย ต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ไปสกัดกั้นก็ไม่เกิดเหตุร้ายอะไร ผมก็ไม่รู้ว่าความจำเขาทำด้วยอะไร เพราะเหตุร้ายต่างๆ ที่เกิดขึ้น กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นคนสอบเอง เป็นคนส่งฟ้องเอง แล้วผมก็จำได้ว่าคนที่รวบรวมข้อมูลทั้งหลายแล้วก็บอกว่า อันนี้ฟ้องได้ครับท่าน อันนั้นฟ้องได้ครับท่าน ชื่อ ธาริต เพ็งดิษฐ์ สมัยปี 2553
แล้วเขาก็บรรยายไปเรื่อยละครับว่าผมนั้น ไอ้พฤติการณ์ที่กระทำความผิด เพราะว่าเป็นนายกฯ ออกประกาศภาวะฉุกเฉิน ตั้ง ศอฉ.ไปบอก ศอฉ.ให้ขอคืนพื้นที่ ให้กระชับพื้นที่ สุดท้ายมีผู้เสียชีวิต บรรยายการเสียชีวิตว่ามีใครเสียชีวิตที่ไหนอย่างไรบ้าง สุดท้ายก็แจ้งข้อหาผม กับคุณสุเทพ ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นตายโดยเจตนา มีมาตราเรียบร้อยครับ ความผิดก็คือเป็นตัวการร่วมในคดีฆาตกรรมโดยเจตนา คำว่าเจตนาคือเล็งเห็นผลว่าจะมีคนตาย
ผมก็ต้องให้การ ก็ต้องให้สั้นๆ ครับว่า ผมปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ทีนี้เขาก็บอกว่าเมื่อผมฟังแล้วปฏิเสธแล้ว แปลว่าผมรับทราบ และเข้าใจข้อกล่าวหาทั้งหมดใช่ไหม ซึ่งปกติคนไปรับทราบข้อกล่าวหาก็จะบอกว่าใช่ ผมบอกว่าผมรับทราบ แต่ผมไม่เข้าใจ
แล้วผมไม่ได้เล่นคำอะไร ผมทราบเพราะผมได้ยินแล้วว่าเขากล่าวหาว่าอะไร แต่ผมไม่เข้าใจ 2 เรื่อง ผมถามเขา ถ้าเขาตอบได้ ผมก็จะเข้าใจ ผมถามข้อแรกว่า ตกลงที่คุณแจ้งข้อหาผมนั้น คุณแจ้งข้อหา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือคุณแจ้งข้อหา นายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2553 เขาตอบว่า แจ้งข้อหา นายอภิสิทธิ์ ผมก็ถามว่าที่คุณบรรยายมา คุณไม่ได้บรรยายนายอภิสิทธิ์นะ คุณบรรยายว่าในฐานะนายกรัฐมนตรีทำอย่างนี้ ในฐานะนายกรัฐมนตรีทำอย่างนั้น ทำไมคุณถึงไม่แจ้งข้อหาว่าผมเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่ใช้อำนาจผิด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เขาบอกผมว่า เขาไม่แจ้ง ยังไงก็ไม่แจ้ง ผมบอกแล้วแปลว่าอะไรล่ะที่เขียนในฐานะนายกรัฐมนตรี ลูกน้องธาริตบอก เอ่อ มันก็จะ พอจะบอกว่าใช่ ธาริตก็สะกิดว่า อย่าพูดว่าเป็นนายกฯ
ทำไม ทำไมไม่กล้าแจ้งข้อหาผมในฐานะนายกฯ เพราะรู้ว่า ถ้าแจ้งข้อหาผมในฐานะนายกฯ ใช้อำนาจ ดีเอสไอ ไม่มีสิทธิ์สอบสวนคดีนี้ เป็นหน้าที่ของ ป.ป.ช.แต่ ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระ คุมไม่ได้ สั่งไม่ได้ เพราะฉะนั้นหัวเด็ดตีนขาดไม่แจ้งข้อหาว่าทำผิดในฐานะเจ้าหน้าที่ ไม่แจ้งผิดในฐานะนายกรัฐมนตรี หรือเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ
ผมก็ถามต่อบอกผมไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ไอ้นายอภิสิทธิ์นี่มันเป็นใคร มันประกาศภาวะฉุกเฉินได้ ถ้ามันไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี หรือผมปลอมตัวเป็นนายกฯ ไม่เอาอีกข้อหานึงล่ะ นั่นข้อที่ 1
ข้อที่ 2 ผมก็ถามว่า ที่คุณบอกว่า ผม กับคุณสุเทพ ทำให้คนอื่นตายโดยเจตนานั้น คุณหมายถึงกรณีของนายพัน คำกอง ใช่หรือไม่ หรือคุณหมายถึง 98 ศพ ที่มีการบรรยายว่าคนนั้นเสียชีวิตวันนี้ คนนี้เสียชีวิตวันนั้น เพราะบรรยายตั้งแต่มีนา จนถึง 19 พฤษภา เขาก็บอกว่าแจ้งคดีนี้เป็นเฉพาะกรณีของนายพัน คำกอง ผมก็ถามว่า แล้วคุณไปนั่งบรรยายการกระทำผมหลังจากที่นายพัน คำกองตายแล้วทำไม ไล่ไปอีกตั้งไม่รู้กี่กรณี เขาก็บอกว่าบรรยายรวมๆ แต่ขอแจ้งข้อหาเฉพาะกรณีนายพัน คำกอง ผมก็รู้แล้ว ความตั้งใจคืออะไร
ความตั้งใจก็คือว่า ต่อไปนี้จะมีกรณีอื่นที่มีการเสียชีวิต ก็จะไล่แจ้งผมทีละคดีๆ ให้มันมีหลายคดี หรือหลายสิบคดี ผมก็ถามว่าแล้วถ้าหากว่ามันมีกรณีอื่นที่บอกว่าเสียชีวิตเพราะว่าเป็นผลมาจากการกระทำของผม มันจะมีพฤติการณ์อื่นนอกเหนือจากที่บรรยายมามั้ยว่าผมนั้นตั้ง ศอฉ.ผมประกาศภาวะฉุกเฉิน ผมออกคำสั่ง มันไม่มีหรอกครับ เพราะถ้ามันไม่มีก็แปลว่า การกระทำของผมนั้น มันก็มีอยู่เท่านี้ แต่มีความพยายามจะทำให้มันเป็นหลายคดี หรือหลายสิบคดี ทั้งๆ ที่เป็นการกระทำเดียวกัน
นี่แหละครับ กฎหมายตำรา ธาริต-เฉลิม ก็ไม่เป็นครับ ผมก็อย่างที่บอก รับทราบข้อกล่าวหา ไม่เข้าใจ แล้วก็ได้ถามเรียบร้อยแล้วว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ผมเลยถามต่อด้วย บอกเห็นแถลงข่าว คุณสุเทพก็ถาม เห็นแถลงข่าวบอก ตำรวจ เห็นชอบ ดีเอสไอ เห็นชอบ อัยการ เห็นชอบ อัยการที่นั่งอยู่ก็เลยบอกว่า มีการปรึกษาหารือกัน แต่ไม่ได้ลงมติ ความเห็นนี้ก็ไม่ได้ผูกพันอัยการ ซึ่งดีเอสไอต้องส่งสำนวนไปหาอัยการ แต่ว่าเอาละก็ต้องถือว่า อยู่ร่วมด้วย ผมก็เลยขอรายชื่อทุกคนที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนคดีนี้ไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในวันข้างหน้าครับ
ส่วนข้อกล่าวหาที่ 2 หนักหนาสาหัสมากจนต้องเป็นคดีพิเศษ ยังไม่เคยเรียกผมไปสอบเลยนะครับ แจ้งข้อหาผม ทีนี้จะอ่านเยอะ ผมบอกตอนนี้ไม่ต้องอ่านหรอก เพราะผมรู้อยู่แล้ว ข้อหาบอกว่า ผมนั้นบังอาจกระทำผิดถึง 21 กรรม คือระหว่างปี 2551-2555 บริจาคเงินให้พรรคประชาธิปัตย์เดือนละ 20,000 ๆๆ มันผิดยังไง เขาบอกว่า ตามกฎหมายนั้นการบริจาคเงิน 20,000 บาทขึ้นไป ต้องทำเป็นตั๋วแลกเงิน หรือเป็นเช็ค ผมก็เข้าใจดีครับ เพราะกฎหมายเขากลัวว่าถ้าใครบริจาคเงินให้กับพรรคการเมือง 20,000 ขึ้นไปนั้น ถือว่าเป็นเงินเยอะพอสมควร เขาก็กลัวว่ามันจะมีคนมาใช้นอมินีไง เช่นมีเศรษฐีอยากจะบริจาคให้พรรค แต่ไม่อยากแสดงตัว ก็ไปเอาเงินไปให้คนนี้มาบริจาค แล้วก็อ้างว่าคนนี้บริจาค คนนั้นบริจาค คนละ 20,000 30,000 เป็นแสน หรือเป็นล้าน เขาก็เลยบอกต้องทำเป็นเช็ค จะได้ตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินได้
ผมทำยังไงครับ ที่ผมบริจาคเงินให้ 20,000 นั้น เหมือนกับสมาชิกพรรคอีกหลายคน ไอ้ที่นั่งอยู่ข้างหลังผมเนี่ยอย่าคิดว่าจะรอดนะ ทำไมรังสิมา จ่ายแค่ 5,000 แล้วเคยติดแล้วก็มันพอกมาเป็น 4 เดือน 5 เดือน ถึง 20,000 บ้างมั้ย จ่ายทุกเดือน เดี๋ยวผมจะไปตรวจดู
ที่เขาทำกับผม กับ ส.ส.เข้าใจว่า อีก 40 กว่าคนที่จะโดน พวกผมไม่ได้จ่ายเป็นเงินสดนะครับ พวกผมใช้วิธีทำหนังสือให้ สภา เวลาจ่ายเงินเดือนพวกผมอย่าจ่ายเต็ม หักไปเลย 20,000 แล้วให้สภาเซ็นเช็คให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็เข้าใจว่ามันเป็นไปตามกฎหมาย เพราะเป็นการใช้เช็ค แล้วมันก็ตรวจสอบได้ว่าเงินนี้มันมาจากใคร ก็คือมาจากเงินเดือนพวกผมเท่านั้นเองครับ แต่ดีเอสไอบอก ไม่ได้ กฎหมายเขียนอย่างงี้ ต้องเป็นเช็คของคุณเท่านั้น ไปใช้เช็คของสภาไม่ได้ คือพูดตรงๆ นะครับ ปัญหาเรื่องนี้จะไม่เกิดเลย ถ้า ส.ส.ไม่ค่อยชอบเบี้ยวกัน คือที่ใช้วิธีนี้นี่ เพราะกลัวว่า ส.ส.เบี้ยว เจ้าหน้าที่พรรคต้องไปวิ่งไล่ตาม ส.ส.ว่า เดือนนี้จ่ายหรือยังๆ เราก็เลยให้หักเงินเดือนตั้งแต่ต้นทาง แต่ทำเป็นเช็ค ถูกต้องตามกฎหมาย นี่ผมยังโกรธคุณสุเทพอยู่เลย เป็นเลขาธิการพรรคตอนนั้น ความจริงไอ้คดีเมื่อกี้ผมก็เดือดร้อนเพราะคุณสุเทพด้วยนะ แต่คดีนี้คุณสุเทพไม่โดน เพราะเป็น สส.เขต เลยส่งเงินไม่ถึง 20,000 แต่เป็นเลขาธิการพรรคนี่คราวหลังน่าจะไปดูแล ไม่ต้องมารบกวนเงินเดือน สส. พวกผมจะได้ไม่ต้องโดน ผมพูดเล่นครับ
พวกผมทำอย่างนี้ด้วยความเต็มใจ เพราะผมต้องการมีพรรคการเมือง ซึ่งไม่ใช่ของนายทุน ใครมาเป็น สส.พรรค ต้องช่วยพรรค สามัคคีกัน ร่วมกันเป็นเจ้าของพรรค พอผมถูกแจ้งข้อหาปั๊บ สส.บางคนเอาเลยครับ ตอนนี้ หัวหน้า อย่างนี้เราไม่บริจาคเงินเข้าพรรคดีมั้ย ผมจะบอก ไม่ต้องทายด้วย คนแรกที่พูดเลยชื่อ นายศิริโชค โสภา ผู้ไม่จ่ายเงินในทุกกรณี รวมทั้งข้าวมันไก่ที่ผมเล่าไปวันก่อน ผมบอกไม่ได้หรอกครับ เราต้องรักษาแนวทางนี้ และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดว่า คนที่เขาออกกฎหมาย เขามีเจตนาอย่างไร แล้วที่ปฏิบัติไปนี่ก็ชัดเจนว่ามีการใช้เช็คขีดคร่อม เอาเงินเข้า แล้วก็มีแหล่งที่มาของเงินชัดเจน ก็ไม่เป็นไรครับ แจ้งกันเรียบร้อย
ผมก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหานะครับ แล้วก็คงไม่ต้องให้การอะไรเพิ่ม พอรับทราบข้อกล่าวหา 2 คดีเสร็จ ก็มีคดีที่ 3 ที่ต้องให้การ ก็คือเรื่องที่เขามาไล่รังควาญคนที่เคยบริจาคเงินให้ศูนย์อำนวยการน้ำท่วม ตอนที่พรรคประชาธิปัตย์มาช่วยประสานงานในปี 2553 ก็ให้การไปเรียบร้อยครับ ครบถ้วนทุกอย่าง
นี่คือ สิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองเราในวันนี้ ใครจะคิดครับว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งถูกตั้งขึ้นมานั้น เขานึกว่าจะไปไล่ติดตามบรรดาคนกระทำความผิดที่มันเป็นกระบวนการใหญ่โต ทำคดีธรรมดาไม่ได้เช่น พวกก่อการร้าย ทำร้ายบ้านเมือง แล้วมีเครือข่ายไปถึงต่างประเทศ ไอ้อย่างนี้สิครับ คดีพิเศษ ปัดโธ่ คนแค่หักเงินเดือน 20,000 เข้า ต้องมานั่งทำเป็นคดีพิเศษ
กกต.เขาก็มีหน้าที่ เขาก็ตรวจสอบอยู่ทุกปีๆ อยู่แล้วว่าที่มาของเงินของพรรคเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ก็ว่าไปตามกระบวนการ แต่ว่าหลังจากนั้นก็มีเรื่องอื่นเข้ามาแทรกนะครับ อย่างเช่นที่บอกว่า มาจะมาพิมพ์ลายนิ้วมืออะไร แต่ว่าเป็นเรื่องในรายละเอียด คนอื่นอาจจะมาพูดต่อไป
สิ่งที่ผมอยากจะย้ำก็คือว่า ความพยายามของรัฐบาล ความพยายามของเครือข่ายของทักษิณ ความพยายามของเสื้อแดงจะมีการดำเนินการทุกวิถีทาง กดดัน ขัดขวาง การทำงานของพวกผมอย่างต่อเนื่อง แต่สิ่งที่ผมคิดว่าเขาต้องผิดหวังก็คือ พวกผมไม่มีกลัว ไม่มียอม เดินหน้าต่อสู้เพื่อความถูกต้องอย่างเดียว
ก็เอาสิครับ เพราะโทษสูงสุดประหารชีวิตอยู่แล้ว แล้วทำวิธีนี้ อยากจะมีกี่สิบคดี ประหารผมเป็นสิบครั้งก็ได้ เพราะผมเข้าใจว่าพอประหารครั้งแรกไปแล้ว ผมจะไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่ แต่จะให้ผมหยุด จะให้ผมยอม ให้ความไม่ถูกต้องเกิดขึ้น เป็นไปไม่ได้ ถึงผมตาย สุเทพตาย ก็มีคนอีกเป็นหมื่น เป็นแสนที่ไม่มีวันยอม และผมกับคุณสุเทพก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเราจะยอมรับกระบวนการยุติธรรม ถึงจะมีความรู้สึกว่าถูกกลั่นแกล้งว่าข้อหาไร้เหตุผลไม่สามารถอธิบายได้ด้วยประการทั้งปวง แต่พวกผมอยู่ภายใต้กฎหมายไทย เมื่อคุณมีอำนาจ เรียกผมไปแจ้งข้อกล่าวหา ผมก็บอกว่า ผมไปรับทราบข้อกล่าวหา แต่เมื่อคุณไม่มีอำนาจมาสั่งผมว่าห้ามออกนอกประเทศ พวกผมก็ไม่ยอมเซ็นที่จะไปเซ็นบันทึกข้อตกลงว่าจะออกนอกประเทศต้องไปขออนุญาต ดีเอสไอ ก่อน ไม่ครับ
ถ้าพวกผมมีพฤติการณ์ คุณไปขอศาล ถ้าศาลให้ขังผม ผมก็ต้องถูกขัง แต่พวกผมตรงไปตรงมา ไม่ขี้โกง ไม่ขี้ขลาด เหมือนบางคนที่ยังไม่กลับมารับโทษ แน่จริง ไปหนีอยู่ไหนล่ะ อย่าเที่ยวมาผลุบๆ โผล่ๆ สิ ดูซิขึ้นเวทีมวยวันเดียว ปาเกียว ถูกน็อคเลย คนอะไรมันเอาความซวยมาให้คนอื่นได้ตลอด อย่าผลุบ อย่าโผล่ ผมขึ้นศาล ผิดถูกประหาร คุณก็กลับมาติดคุก บ้านเมืองจะได้เดินได้ ทุกคนต้องยอมรับกติกา นี่คือจุดยืนผม นี่คือจุดยืนสุเทพ นี่คือจุดยืนประชาธิปัตย์ และจุดยืนของพี่น้องที่รักความถูกต้องทุกคน