รายงานการเมือง
ทำเอาบรรยากาศการเมืองไทยที่มะรอมมะร่อว่าจะร้อนแรงอีกครั้งเย็นลงไปได้มากโข สำหรับกองไฟรัฐธรรมนูญที่คุกรุ่นค้างเติ่งอยู่ที่รัฐสภาในวาระ 3 มานานหลายเดือน ที่เมื่อไม่นานมานี้พลพรรคเพื่อไทยผนึกกับพรรคร่วมรัฐบาลเพิ่งเป่านกหวีดเตรียมจะรื้อกันต่ออีกรอบ
จนแนวร่วมต้านต้องออกมาตีเกราะเคาะไม้ส่งสัญญาณคัดค้านกันแบบยกแผง จนทำเอาคนในรัฐบาลเสียงแตกกันขรมไปคนละทิศละทาง
โดยเฉพาะกับบรรดาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และพวกทีมงานยุทธศาสตร์ “สายเหยี่ยว” ที่ออกมาตะโกนสั่งลุยโลดไม่ต้องสนหน้าอินทร์หน้าพรหรม
บอกแบบไม่ต้องอ้อมค้อมว่า ต่อให้ไม่แก้รัฐธรรมนูญอย่างไรคนไม่เอา “ทักษิณ” ก็หาเงื่อนไขอื่นจ้องโค่น "รัฐบาลนอมินี" นี้อยู่ดี ตามประสาคนเหม็นขี้หน้ากัน
ขณะที่อีกพวกที่คิดตรงข้ามกับแนวทางบู๊บ้าบิ่นนี้ ก็หนีไม่พ้นทีมยุทธศาสตร์ “สายพิราบ” ในพรรคเพื่อไทย กับบรรดาเสนาบดีที่กำลังอิ่มหนำอยู่ในหน้าที่การงานที่มองว่า เสถียรภาพของรัฐบาลคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่พร้อมใจกันเชียร์ “ยิ่งลักษณ์” ให้เลือกเดินบนถนนหนทางที่ปลอดภัย
ใช้จังหวะสานฝันนโนบายปั้นผลงานสร้างคะแนนนิยมซื้อใจประชาชนที่ใช้เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กชั้นดีในวันข้างหน้าที่อาจพลั้งพลาด แล้ววันไหนทุกอย่างมันลงตัวแล้วจะเริ่มขย้ำขยี้ “รัฐธรรมนูญหน้าแหลมฟันดำ” เมื่อไหร่ก็ยังไม่สาย ตราบใดที่อำนาจยังอยู่ในอุ้งมือ
อีกทั้งในทางตรงกันข้าม วันนี้หากเลือกลุยฝ่ารื้อฉีกชำแหละไปโดยไม่สนหมายเหตุที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไว้แบบหวาดเสียวเกี่ยวกับการทำประชามติเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ก็ไม่ต่างกับการจงใจเดินไปสู่กับดักของฝ่ายตรงข้ามที่วางเอาไว้
ต่อให้ปากกล้าขาสั่นเชื่อมั่นในคำวินิจฉัยแบบเข้าข้างตัวเองของทีมกฎหมายเพื่อไทยมากแค่ไหน แต่ไม่มีใครการันตีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์สักคนว่า เมื่อบรรดาแนวต้านประเคนเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความกันอีกหนเรื่องมันจะลงเอยอย่างไร
ยังไม่นับรวมเรื่องภายในขององคาพยพของรัฐนาวาลำนี้ โดยเฉพาะในส่วนของความไว้เนื้อเชื่อใจบรรดา ส.ส.จากพรรคร่วมรัฐบาลที่จะยกมือโหวตให้ในวาระ 3 ให้ เพราะต้องอย่าลืมว่า การเข้าไปมีส่วนร่วมโดยการลงมติของ ส.ส.นั้น ผลของการกระทำดังกล่าวอาจนำไปสู่การถอดถอนได้ในภายหลังหากศาลรัฐธรรมนูญเคาะลงมาว่า “ขัดรัฐธรรมนูญ”
ตามประสานักการเมืองไทยไม่มีคนไหนไม่รักตัวเอง
ดังนั้น การยอมอดเปรี้ยวเสียเวลาย่อมคุ้มค่ากว่าการลุ่ยฝ่าไปในความมืดที่เต็มไปด้วยศัตรูที่เฝ้ารออยู่ระหว่างทาง เพราะอย่างน้อยถึงจะเสร็จช้าไม่ทันใจ “นายใหญ่” แต่ก็ได้แก้ในสภาวะที่อุ่นใจกว่าตอนนี้ก็แล้วกัน
ดังภาพที่ปรากฏออกมาว่า ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี จะยืนจ้อให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องรัฐธรรมนูญได้แบบมีทิศมีทางและมีประเด็นมากกว่าครั้งก่อนๆ ที่มักจะโยนจะโบ้ยให้รัฐสภาอยู่เสมอ
รอบนี้ “นารีปู” เล่นจัดหนักแบบเต็มคำชัดๆ ว่า ให้ทำประชามติแล้วค่อยลงวาระ 3
ขณะเดียวกัน “นายห้างดูไบ” ที่พเนจรอยู่ฮ่องกงก็เปิดใจผ่านการปาฐกถาในหัวข้อ “สนทนากับทักษิณ” ที่สถาบันเอเชียโซไซตี (ASIA SOCIETY) จัดขึ้นในวันเดียวกันว่า น้องสาวของเธอเลือกจะทำประชามติ
ตามเนื้อเรื่องก็เข้าอีหรอบพี่น้องสนทนาคลิกกันไว้ก่อนแล้ว
สอดคล้องกับหลักฐานตอกย้ำว่ารัฐบาลเลือกแนวทางนี้ กับกรณีที่ “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) ถอนเรื่องการชงงบจัดประชาเสวนาจำนวน 168 ล้านบาทออกจากที่ประชุม ครม.แบบดื้อๆ ทั้งๆที่สัปดาห์ก่อนเพิ่งจะประชุมกันหยกๆ ให้เอาแนวทางจัดประชาเสวนามาอ้างเพื่อสร้างความชอบธรรมเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฝ่ายยุทธศาสตร์ข้างกายคงฟันธงกันแล้วว่า “ประชาเสวนา” ไม่ได้มีความชอบธรรมตามบัญญัติยางค์ของกฎหมาย การลุยทำไปอย่างไรก็ไม่พ้นฝ่ายต้านจะหาเรื่องมาเอาผิดอยู่ดี
ผิดกับ “ประชามติ” ที่เป็น “ยันต์กันผี” ไว้ใจได้กว่าเยอะ ทั้งผลทางกฎหมาย และที่สำคัญตรงตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเอาไว้เมื่อช่วงที่ผ่านมา
เรียกว่า หากรัฐบาลทำ “ประชามติ” แล้วลุยโหวตวาระ 3 นาทีนั้นแนวต้านก็หาข้ออ้างมาเบรกได้ยากเหลือเกิน
ทว่า การเลือกเดินทางนี้ของรัฐบาลก็หาใช่ว่าราบรื่นบริบูรณ์ตลอดทาง เพราะหากพลิกไปมองกฎหมายเรื่องการทำประชามติ ก็ถือว่าไม่ใช่งานง่ายๆ ที่รัฐบาลจะถือธงเข้าวินง่ายๆ ไปแบบการเลือกตั้งทั่วไปปี 2554
เพราะกรณีการออกเสียงประชามติที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติ ตามมาตรา 165 (1) ของรัฐธรรมนูญ ระบุไว้ว่า การออกเสียงประชามติในกรณีนี้จะต้องมีผู้มาออกเสียงเป็นจำนวนเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ และจะต้องมีจำนวนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น
อธิบายแบบง่ายๆ คือ หากมีผู้มีสิทธิออกเสียง 10 ล้านคน ผลการลงคะแนนที่จะทำให้การทำประชามติตรงนี้ผ่านได้ก็คือ 5 ล้านคน แต่ทว่าความยากก็คือผู้มีสิทธิออกเสียงจำนวน 10 ล้านคนจะพร้อมใจกันมาลงประชามติในครั้งนี้หรือไม่?
เพราะหากมองย้อนไปดูผลการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไปเมื่อปี 2554 หรือครั้งก่อนๆที่ผ่านมา ไม่เคยมีครั้งไหนที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะออกมากันครบร้อยเปอร์เซ็นต์สักครั้ง และหนนี้ยิ่งมีแนวต้านอย่างพวกที่ไม่เอาด้วยแล้วถือว่าผ่านลำบาก
ตามจังหวะที่ “โภคิน พลกุล” ประธานคณะกรรมการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาล รีบออกตัวมารักษาสถานภาพรัฐบาลว่า การทำประชามติครั้งนี้ถือเป็นกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน ดังนั้นหากไม่ผ่านรัฐบาลก็ไม่มีความจำเป็นต้องแสดงความรับผิดชอบ
หรือที่รู้กันทางเกมการเมืองก็คือ “ยุบสภา”
เล่นปล่อยเชิงการเมืองดักคอฝ่ายตรงข้ามกันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่กันไปเลย
แต่อย่างไรก็ตาม ก็หาใช่รัฐบาลจะไม่มีทางออกหรือทางแถ เพราะแม้รัฐบาลอาจจะผ่านการทำประชามติด่านนี้ไปได้ยากด้วยจำนวนที่ถูกกำหนดไว้ในเพดานที่สูงลิ่ว แต่กระนั้นด้วยความที่พรรคมีอดีตนักกฎหมายมหาชนที่ถนัดพลิกแพลงกฎหมาย และเก่งเลี่ยงคำบาลี
ไม่แน่ว่างานนี้อาจได้เห็น การพลิกพลิ้วกฎหมายเรื่องการประชามติกันอีกสักรอบก็เป็นได้ ฉะนั้นต้องจับตา!!!!