xs
xsm
sm
md
lg

ปอดกระเส่าเบรกแก้ รธน. เล็งใช้เล่ห์แผนร้ายชำเรากฎหมาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

เป็นไปตามคาดของใครหลายคน เมื่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยเหยียบเบรกหัวทิ่ม ชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ยืดยาวออกไปอีก อย่างน้อยๆ ดูเหมือนว่าจะต้องทำประชามติก่อน ไม่กล้าฝ่าไฟแดง กับดักศาลรัฐธรรมนูญและฝ่ายตรงข้าม ที่ออกมาชี้นิ้วแกมบังคับ อย่าแข็งขืนเดินหน้าลุยไฟล้ำเส้นที่ขีดไว้

ชนวนความขัดแย้งที่เป็นเชื้อลามจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญยังเป็นภาพหลอกหลอน “รัฐบาลปูนิ่มอยู่ตลอดเวลา” แตะเมื่อไหร่วุ่นเมื่อนั้น

เนื่องเพราะฝ่ายรู้ทันจับไต๋ออกว่ากำลังหมกเม็ดซ่อนเร้นอย่างไร ฉากหน้าพร่ำบอกว่าจะแก้ไขเพื่อประชาธิปไตย แต่ฉากหลังเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย หวังช่วยเหลือ ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคดี พร้อมปลดล็อกวางแนวทางขจัดเสี้ยนหนามจากฝ่ายตรงข้าม กรุยทางให้พวกตัวเองเข้าสู่วังวนอำนาจ สวาปามงบประมาณชาติกันสะดวก

จับยามสามตาประเมินภายในแล้ว ณ ชั่วโมงนี้ถึงจะพลิกพลิ้ว ซื้อเวลากันอย่างไรก็ตาม ยังหนีไม่พ้นตาเหยี่ยว ตานกฮูกไปได้แน่ จึงเป็นที่มาของการทบทวนหลายตลบระคนหวาดระแวง ว่าหากยังเดินหน้าขึงขังรอบใหม่อาจติดกับดักเครือข่ายเฝ้าระวังเหมือนเช่นเคย

ฉะนั้น ความเคลื่อนไหวล่าสุดจึงปรากฏออกมาอย่างที่เห็น สัญญาณความแรงลดระดับจนเกือบมอด แม้จะมีบางคนบางฝ่าย เช่นคนเสื้อแดง แนวร่วม นปช.เผาเมือง ออกมาเร่งเร้าปลุกระดมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญแบบจานด่วน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง เพราะนั่นเท่ากับแหย่เท้าไปท้าทายอสรพิษ ได้ไม่คุ้มเสีย อาจพังพินาศไปทั้งรัฐบาล

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีหุ่นเชิด รับใบสั่งจากพี่ชายแบบเสียไม่ได้ ประกาศชัดส่งสัญญาณไปยังเครือข่ายเสื้อแดงให้ใจเย็นๆ เรื่องรัฐธรรมนูญแก้แน่ แต่ไม่ใช่เร็วๆ นี้ ต้องถามประชาชน ต้องถามสังคมให้ตกผลึกก่อน เช่นเดียวกับคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ออกมาสอดรับทำนองเดียวกันกับนายกฯสมองกลวงแบบไว้เชิง

คณะทำงานพรรคร่วมฯ ที่มี โภคิน พลกุล รับหน้าที่เป็นหัวหอกศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลายคนหงุดหงิดไม่น้อย ที่ผลการศึกษาฟันธงออกมาให้เดินหน้าลุยแหลกโหวตวาระ 3 ทันทีที่มีโอกาสโดยไม่ชักช้า ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป กลับถูกปฏิเสธจากแกนนำพรรคเพื่อไทยบางส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสายที่ใกล้ชิดนายใหญ่

บอกว่ามัน “อันตรายเกินไป”

“ทักษิณ” ยอมถอยเพื่อรักษาสถานภาพรัฐบาลเอาไว้ก่อน งัดมาสับขาหลอกทั้งประชามติ ประชาเสวนา ประชาพิจารณ์พูดจนชาวบ้านงง กระทั่งพวกเดียวกันเองยังงงไปด้วย!!

เพราะหวั่นเกรงผลกระทบที่จะตามมา ปอดแหกระแวงจะติดกับดักอีกรอบ เหมือนวัวสันหลังหวะ ไม่กล้าเดินหน้าพาร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลฝ่าขวากหนาม กลัวจะไปไม่สุดทาง จำต้องยอมซื้อเวลาต่ออีกหน่อยเพื่อรอคอยโอกาสที่สดใสกว่า

เงื่อนไขให้ทำประชามติ ถามความต้องการประชาชนก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญนั่นส่วนหนึ่ง หากไม่ทำตามจุดนี้ อาจเปิดช่องให้ฝ่ายตรงข้ามร้องเรียน จุดประเด็นขึ้นอีกรอบ และเงื่อนไขของการทำประชามติให้ผ่านความเห็นชอบตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยใช้เสียงครึ่งหนึ่งของ “ผู้มีสิทธิ” นั่นก็อีกส่วนหนึ่ง ที่ดูเหมือนจะฝ่าด่านไปลำบาก

ฉะนั้น ก่อนอื่นใดน่าจะทำประชามติ พร้อมเบี่ยงเงื่อนไขให้ได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงเพียงครึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิ จะเป็นการง่ายกว่า แม้จะเสียเวลาไปบ้างก็ดีกว่าไปเข็นครกขึ้นภูเขา!!

การจะผ่านประชามติตามกฎหมายการทำประชามติ ถือเป็นเรื่องยากมากๆ เพราะต้องใช้เสียงถึงครึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิ ตัวเลขกลมๆ ประเทศไทยมีผู้มีสิทธิ 50 ล้านคน จะต้องได้ความเห็นชอบถึง 25 ล้านคน ลำพังแค่เสียงที่พรรคเพื่อไทยได้รับการเลือกตั้งมา 15 ล้านเสียงยังไม่พอ ต้องหาอีกถึง 10 ล้าน โอ้แม่เจ้า!! จะไปหาที่ไหนพอ

ยิ่งเป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องสลับซับซ้อน เข้าใจยาก ไม่เกี่ยวกับปากท้องชาวบ้าน เขาก็ไม่ค่อยจะใส่ใจ สนใจมาใช้สิทธิใช้เสียงกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นโอกาสความเป็นไปได้เรียกว่าเกือบศูนย์ ดันทุรังไปก็เหมือนเอาหัวไปโขกกำแพงตายเปล่า

ฉะนั้นทางออกที่ดูเหมือนจะเหลือเพียงประตูเดียวที่จะทำให้รัฐธรรมนูญผ่าน นั่นก็คือต้องแก้ไขกฎหมายประชามติเสียก่อน แก้เอาเสียงครึ่งหนึ่งของเฉพาะผู้มาใช้สิทธิ ถ้าปลดล็อกตรงนี้ได้ก็ง่ายเลย เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก เอาเสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ ถ้าหากยิ่งมาใช้สิทธิน้อยโอกาสเข้าวินก็ยิ่งสูง

นี่คือเกมต่อไปที่ต้องจับตาความฉ้อฉลเอาแต่ความต้องการตัวเองเป็นที่ตั้งของ ทักษิณและสมุนซาตาน อะไรที่ไม่เข้าทางตัวเองก็เปลี่ยน ก็แก้มันเสียหมด กติกาไม่ชอบใจ ก็เปลี่ยนเป็น “กติกู” ใครจะทำไม!!

เหมือนเล่นฟุตบอลแล้วไปแก้กฎกติกา วางกติกาห้ามใครล้ำหน้าเอาเปรียบ คนอื่นล้ำไม่ได้ แต่พอตัวเองล้ำหน้าไม่ผิด เอากันแบบนี้เล่นเมื่อไหร่ก็ชนะ เจ้าเล่ห์เพทุบาทยจนชาชิน โกงจนติดเป็นนิสัย ฮ่วย!!

กระนั้นการคิดจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายประชามติถือเป็นเรื่องสำคัญมาก หากแก้ไขยึดเอาเพียงเสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิเป็นเงื่อนไขของการผ่านความเห็นชอบเรื่องใดๆ ต่อไปก็ลองนึกภาพดูเองว่าอาจจะมีเรื่องอื่นๆ ตามมาอีกเยอะแยะแค่ไหน

โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นปัญหาความขัดแย้ง เรื่องที่ทำให้รัฐบาลติดหล่มเดินหน้าไม่ได้ ก็จะใช้ช่องทางประชามติมาเป็นตัวช่วย เอะอะมีเรื่องอะไรก็ใช้มันอยู่เรื่อยไป เลอะเทอะจนขาดความศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายประชามติก็กลายเป็นเครื่องมือของบุคคลเห็นแก่ตัวบางจำพวก บ้านเมืองไม่ยิ่งยุ่งเหยิงกันไปใหญ่รึ??

กฎหมายประชามติที่มีอยู่เป็นหลักสากลที่ทั่วโลกเขายอมรับกันดีอยู่แล้ว อย่าไปทำของดีให้เป็นของเสียเลย ถ้าแน่จริงก็วัดใจกันไปเลย ให้ใช้กฎหมายประชามติฉบับปัจจุบันไปถามประชาชนผู้มีสิทธิทั้งประเทศเลยว่าจะเอาหรือเปล่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 50 นี่หรือเปล่า จะระดมเครือข่ายกันอย่างไรก็เอาให้เต็มที่ ขอให้ได้เสียงเกินครึ่งหนึ่ง จะได้จบๆ กันเสียที

ถ้าหากผ่านความเห็นชอบจากประชาชนตรงนี้ไปได้ จะทำอะไรก็เชิญเลย ไม่มีใครกล้าค้านแน่นอน จะเขียนอย่างไรก็สะดวกใจ แต่ถ้าไม่ผ่านประชามติกล้าเดิมพันด้วยการลาออกหรือไม่ กล้าไสหน้าเน่าๆ ออกจากทำเนียบรัฐบาลออกไปให้หมดหรือไม่

เมื่อคิดจะเสี่ยงแล้วก็กล้าๆ วัดใจหน่อย ไม่ใช่เอาแต่ได้ถ่ายเดียว แต่ไม่ทันไรคณะทำงานพรรคร่วมชุด “โภชิน” ก็ออกมาพล่ามเป็นหนังสือสัญญาแล้วว่าถ้าทำประชามติไม่ผ่านรัฐบาล รัฐสภาไม่ต้องรับผิดชอบ

ทุด!! นิสัยนักการเมืองเอาแต่ได้ ปากกล้าแต่อย่าขาสั่น ใจปลาซิว...
กำลังโหลดความคิดเห็น