ผ่าประเด็นร้อน
อุณหภูมิการเมืองไทยกลับมาร้อนฉ่าส่งท้ายปีอีกครั้ง เมื่อรัฐบาลเตรียมเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะแก้ในรูปแบบใดก็ตาม เสียงท้วงติง-แรงต่อต้าน-กระแสเสียดทาน ส่งไปผ่านจากพรรคเพื่อไทยไปถึงตัว “น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี ก่อนจะกระทบชิ่งไปยัง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และที่ร้อนฉ่าไม่แพ้กันคือกรณีที่ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แจ้งข้อหากับ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” อดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้รับผิดชอบสูงสุดของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผอ.ศอฉ. ว่าร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล
“ดีเอสไอ” ยกการไต่สวนคดีการตายของ “พัน คำกอง” ของศาลอาญา ที่ระบุว่าการตายของ “พัน คำกอง” แท็กซี่เสื้อแดง บริเวณย่านราชปรารภ เกิดจากการถูกกระสุนปืนของทหารที่เข้าร่วมปฏิบัติการตามคำสั่ง ศอฉ.มาประกอบแจ้งข้อหา “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ในครั้งนี้ โดยมีนัดหมายประจันหน้ากันวันที่ 13 ธันวาคม ที่ดีเอสไอ
ส่วน “ทหาร” ถือว่ารอดตัวไป เพราะศาลอาญาไม่ได้ระบุว่าเป็นผู้ใด และโดยผลการสอบสวนไม่อาจระบุตัวตนได้ด้วย แต่ได้รับผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 70 ว่า เมื่อเป็นการปฏิบัติตามสั่ง ย่อมได้รับการคุ้มครองโดยไม่ต้องได้รับโทษ จึงไม่แจ้งข้อหาแก่เจ้าหน้าที่ทหาร
แน่นอนว่าเรื่องนี้ “ประชาธิปัตย์” สู้หยิบตาแน่ ตามคำประกาศกร้าวของ “อภิสิทธิ์” ว่าไม่หนี-ไม่ถอย-ไม่รับนิรโทษกรรม-ไม่เดินตามเกมของพรรคเพื่อไทย
ซึ่งการรับแจ้งข้อกล่าวหาของ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ต่อ “ดีเอสไอ” ต้องรอดูว่าจะมีเซอร์ไพรส์อะไรหรือไม่
แต่ที่สู้กันยาวแน่คือ กระบวนการของ “ศาลยุติธรรม” ซึ่งในคนประชาธิปัตย์ รู้ดีว่าคดีนี้จะปล่อยให้ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” แพ้ไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะหากแพ้คดีขึ้นมาอาจจะส่งผลกระทบต่อคดีอื่นๆ ได้
กล่าวคือ คดี “พัน คำกอง” อาจจะถูกนำไปเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีการเสียชีวิตของ “กลุ่มคนเสื้อแดง” จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2553 ได้ หากไม่สู้คดี “พัน คำกอง” ให้ถึงที่สุด คดีอื่นที่จ่อคิวเข้ามา ประชาธิปัตย์อาจจะไม่มีสิทธิ์สู้ หรือสู้ไปก็ยากที่จะเอาชนะได้
ดังนั้นประชาธิปัตย์จึงต้องระดมทุกสรรพกำลังเข้าสู้ โดยเฉพาะทีมกฎหมาย ซึ่งนำโดย “บัณฑิต ศิริพันธุ์” ทนายความจากสำนักกฎหมาย ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช หรือทีเรียกกันให้คุ้นหูว่า “ทนายเทวดา”
ในช่วงที่ผ่านมาทีมกฎหมาย “ประชาธิปัตย์” ได้รวบรวมไว้มากมาย และหลักฐานทุกชิ้นถูกสั่งให้เก็บไว้เป็นความลับ ห้ามออกมาเปิดเผยเป็นอันขาด
เท่าที่มีการระบุกันคร่าวๆ “ประชาธิปัตย์” ได้สั่งให้มีการเก็บคำพูดของ “ธาริต” เกี่ยวกับเรื่อง “ชายชุดดำ” ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะเข้ามาเป็นรัฐบาล เอาไว้เป็นหลักฐานเกือบหมดแล้ว
โดยหมัดเด็ดของ “ประชาธิปัตย์” อยู่ที่คดี 18/2553
ในสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 18/2553 ซึ่งในสำนวนระบุว่า มีชายชุดดำได้รับการฝึกอาวุธจาก เสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) และนำอาวุธมาซ่อนไว้ที่โรงแรมรอยัล กรุงเทพฯ (ปัจจุบันคือโรงแรมรัตนโกสินทร์) เพื่อใช้ยิงกลุ่มพันธมิตรฯ และทหาร
นอกจากนี้ในสำนวนยังมีการระบุชื่อด้วยว่า ใครเป็นผู้ยิง “พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม”
ในสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 18/2553 “ประชาธิปัตย์” มีหลักฐานชัดเจนว่า “ธาริต” เป็นหนึ่งในคนสอบสวน “ชายชุดดำ” และเป็น “ธาริต” ที่ลงนามด้วยตัวเอง ก่อนที่จะส่งให้อัยการสั่งฟ้อง “แกนนำคนเสื้อแดง” และมี “ชายชุดดำ” ถูกสั่งฟ้องด้วยจำนวน 8 คน
นอกจากนี้แล้ว “ประชาธิปัตย์” ยังมั่นใจในการออกคำสั่งของ “ศอฉ.” ว่าไม่ขัดต่อหลักกฎหมายแต่อย่างใด เนื่องจากทำทุกอย่างเป็นขั้นตอน และออกประกาศเตือนไว้ชัดเจนแล้ว อีกทั้ง “ผู้ร่วมชุมนุม” ทั้งหมดถือว่าฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ที่สำคัญประชาธิปัตย์มั่นใจว่า มาตรา 17 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่ระบุไว้ว่าหากการแก้ไขสถานการณ์ของแผ่นดินเป็นไปตามกฎหมาย ฝ่ายรัฐไม่ต้องรับผิดทั้งทางอาญา ทางแพ่ง และทางวินัย
“ประชาธิปัตย์” ถือความได้เปรียบในประเด็นดังกล่าวอย่างชัดเจน
ดังนั้น “คนเสื้อแดง” อย่าชะล่าใจว่าประชาธิปัตย์จะไม่มีทางสู้ เพราะการชุมนุมที่ของกลุ่มคนเสื้อแดง ใช่ว่าจะมีความชอบธรรม หรือถูกกฎหมายเสียทั้งหมด
นี่คือเหตุผลที่ “อภิสิทธิ์-สุเทพ” ประกาศก้าวไม่ยอมหนีไปไหน พร้อมสู้ไม่ถอย เพราะมีข้อมูลทั้งหมดไว้ต่อสู้ในชั้น ศาลซึ่งได้จัดเตรียมไว้อย่างดีแล้ว
ฉะนั้น “คนเสื้อแดง” อย่าชะล่าใจว่าฝั่งที่ตัวเองสนับสนุนถือครองอำนาจรัฐ แล้วจะหลุดพ้นความผิดทั้งหมด ด้วยการโยนความผิดให้กับคนอื่น
“ดีเอสไอ” อย่าชะล่าใจว่า สำนวนที่เคยเขียนไว้-สอบสวนไว้-ลงนามไว้ในอดีต จะไม่ผูกมัดการทำงานของตัวเอง
“รัฐบาล” อย่าชะล่าใจว่าเข้ามาบริหารประเทศแล้วจะสั่ง “ข้าราชการ” ซ้ายหันขวาหันได้หมดทุกคน-ทุกหน่วยงาน-ทุกองค์กร
เพราะยังมี “หน่วยงาน-องค์กร” มากมายที่ยืนตรงข้าม “รัฐบาล” และที่สำคัญยังมี “ประชาชน” จำนวนมากมายที่ยืนอยู่ตรงข้าม “รัฐบาล” โดยเฉพาะรัฐบาลพรรค “เพื่อแม้ว”