รองเลขาธิการสหประชาชาติและผู้อำนวยการบริหารองค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ เข้าพบนายกฯ ถวายพระพรในหลวง ชม “ยิ่งลักษณ์” นายกฯ สตรีคนแรกไทย ยอเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ชาติอื่น โอ่กองทุนสตรีทำผู้หญิงถึงแหล่งทุน ชู “พระองค์ภา” ทรงมีบทบาทอย่างแข็งขัน พร้อมร่วมทำเป้าหมายพัฒนา แย้มหนุนนั่ง กก.บห.วาระหน้าด้วย เจ้าตัวยินดีแลกเปลี่ยนความเห็นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ยัน พ.ร.บ.ความเท่าเทียมทางเพศเกิดประโยชน์แน่
วันนี้ (6 ธ.ค.) ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 14.00 น. นางมิเชล บาเชเลต (Ms. Michelle Bachelet) รองเลขาธิการสหประชาชาติและผู้อำนวยการบริหารองค์การเพื่อการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศและเพิ่มพลังของผู้หญิงแห่งสหประชาชาติ (United Nation Entity for Gender Equality and Women’s Empowerment - UN Women) เข้าเยี่ยมคารวะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
โดยนางมิเชลได้กล่าวถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และแสดงความประทับใจต่อการเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา อันแสดงถึงความจงรักภักดีของประชาชนชาวไทยที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกับกล่าวชื่นชมนายกรัฐมนตรีในฐานะนายกรัฐมนตรีสตรีคนแรกของประเทศไทย ซึ่งแสดงถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรี
โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการให้ความสำคัญแก่ประเด็นความเท่าเทียมทางเพศและการส่งเสริมบทบาทของสตรีของรัฐบาล และยินดีที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับสตรีที่มีประสบการณ์และนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่สตรีทั่วโลก เนื่องจากนางมิเชลเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสตรีคนแรกของประเทศชิลีและภูมิภาคละตินอเมริกา และเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของชิลีและลาตินอเมริกาที่มาจากการเลือกตั้ง
ขณะที่นางมิเชลได้แสดงความชื่นชมความก้าวหน้าของประเทศไทยในการส่งเสริมศักยภาพของสตรี ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ที่ทรงมีบทบาทในเรื่องสตรีอย่างแข็งขัน ทั้งในฐานะทูตสันถวไมตรีของ UNIFEM ที่ช่วยสร้างความตระหนักต่อสังคมเกี่ยวกับการแก้ไขความรุนแรงต่อสตรี รวมทั้งการจัดทำข้อกำหนดกรุงเทพฯ เพื่อเป็นมาตรฐานหลักของสหประชาชาติในการคุ้มครองนักโทษสตรี รวมถึงบทบาทของนายกรัฐมนตรีในด้านสตรีซึ่งนับเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ประเทศต่างๆ โดยเฉพาะการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาบทบาทสตรี ที่นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ริเริ่มขึ้นในปีที่ผ่านมา เพื่อให้สตรีสามารถเข้าถึงเงินทุน อันเป็นโอกาสในการสร้างรายได้เพื่อช่วยจุนเจือครอบครัว ซึ่งได้สอดแทรกวิถีทางประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้สตรีสามารถเลือกผู้นำเพื่อพัฒนาชุมชนของตนเอง ตลอดจนให้คำแนะนำและช่วยเหลือสตรีที่ได้รับความรุนแรง ซึ่งสำนักงาน UN Women พร้อมให้การสนับสนุนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของ UN กับรัฐบาลในเรื่องนี้
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการจัดทำร่างพระราชบัญญัติความเสมอภาคระหว่างเพศของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยให้เกิดประโยชน์ต่อสตรีอย่างแท้จริงและยังสอดคล้องต่อพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ (CEDAW) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา
โดยนายกรัฐมนตรียังได้ยืนยันการสนันสนุนของไทยต่อการดำเนินงานของสำนักงาน UN Women ในระดับโลก ระดับภูมิภาค และในประเทศไทย รวมถึงโครงการ Every Women Every Child ซึ่งริเริ่มโดยเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งนางมิเชลได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยสำหรับความร่วมมือกับ UN ในทุกด้าน การบรรลุเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) ของประเทศไทยก่อนกำหนด และยินดีที่จะร่วมมือกับไทยต่อไปในเรื่องการพัฒนาภายหลังปี ค.ศ. 2015 และการจัดทำเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sunstainable Development Goals - SDGs) รวมถึง พร้อมสนับสนุนการเป็นสมาชิกคณะกรรมการบริหาร UN Women ของไทย ในวาระปี ค.ศ. 2013-2015 ด้วย
