โฆษก พท.ประเมินซักฟอกไร้น้ำหนัก หลักฐานไม่แน่น เหน็บ “มาร์ค” มาตรฐานตก แนะไปทำไร่เลื่อนลอย ขณะเดียวกันอาศัยข้อมูล “ชูวิทย์” เล่นงาน ปชป. ยื่น ป.ป.ช.-สตง.สอบโครงการสร้างโรงพัก 396 แห่ง งบฯ เกือบ 6 พันล้าน คาดซ้ำรอยทุจริตไทยเข้มแข็ง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงภาพรวมของการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในวันที่ 2 ว่าการอภิปรายภาพรวมตลอด 2 วันของฝ่ายค้านต้องบอกว่ามีแต่การกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน โดยเฉพาะการอภิปรายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น ถือว่ามาตรฐานการทำงานการเมืองของนายอภิสิทธิ์ตกต่ำอย่างมาก เพราะมีแต่การกล่าวหา ข้อมูลยังไม่หนัก หลักฐานยังไม่แน่น น่าจะเป็นการสร้างเรื่องเหมือนเขียนนิยายมากกว่าการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล
นอกจากนี้ ส.ส.ฝ่ายค้านที่มาอภิปรายนั้นทำให้ดูเหมือนว่าผู้หลักผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ไม่ให้ความร่วมมือ เพราะมีแต่ ส.ส.รุ่นใหม่ที่สนิทสนมกับนายอภิสิทธิ์ขึ้นมาอภิปรายแบบไร้น้ำหนักเท่านั้น
นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ชี้แจงได้อย่างชัดเจน จนทำให้ประชาชนเห็นได้ว่านโยบายการประกันราคาข้าวของรัฐบาลชุดที่แล้วนั้นมีการขายข้าวในประเทศมากถึง 9 แสนกว่าตัน ซึ่งคนที่ได้ประโยชน์น่าจะมีเพียงบริษัทเอกชนเท่านั้น ขณะที่นโยบายจำนำข้าวนั้นเน้นการขายข้าวให้กับต่างประเทศ ทำให้ชาวนาทั่วประเทศได้ประโยชน์ การพยายามอภิปรายแบบตัดแปะข่าว สร้างตัวละครอักษรย่อ ก.-ฮ.นั้นเพียงเพื่อต้องการให้เนื้อหาการอภิปรายของตัวเองดูมีน้ำหนักขึ้นมาเท่านั้น ดังนั้น หากฝ่ายค้านยังตั้งธงอภิปรายแบบนี้ในวันสุดท้ายก็ขอให้นายอภิสิทธิ์และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่อภิปรายแบบกล่าวหาเลื่อนลอยนั้นไปทำไร่เลื่อนลอยเลยยังจะดีกว่า
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวถึงกรณีที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรครักประเทศไทย อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับโครงการก่อสร้างสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง งบประมาณ 5,848 ล้านบาทว่า ตนได้ติดตามการอภิปรายและตรวจสอบเอกสารรวมทั้งหลักฐานต่างๆ แล้วเห็นว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นการทุจริตในกระบวนการของการทำสัญญาว่าจ้างตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้ผู้รับเหมาทิ้งงาน
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เดิมของ สตช.ในการจัดสร้างหรือซ่อมแซมสถานีตำรวจนั้น มอบให้แต่ละกองบัญชาการของแต่ละภาครับผิดชอบในการทำสัญญาตรงและประกวดราคาเอง แต่เหตุใดรัฐบาลที่ผ่านมาจึงมอบให้ฝ่ายการเมืองเข้าไปควบคุมเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การจัดซื้อจัดจ้างตามปกติที่เคยมีมา แล้วรวบมาไว้ที่ สตช.ทั้งหมดเพื่อดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างจากส่วนกลาง
นายพร้อมพงศ์กล่าวด้วยว่า ตนและทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยเห็นว่า กระบวนการจัดซื้อจัดจ้างนั้นน่าจะส่อทุจริตและผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ทั้งนี้ การอภิปรายของนายชูวิทย์และการตรวจสอบของตนนั้นพบว่าราชการเกิดความเสียหายแล้ว ดังนั้นตนจะรวบรวมหลักฐานเพื่อยื่นต่อ ป.ป.ช.หลังจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเสร็จสิ้น เพื่อขอให้ไต่สวนเรื่องนี้ และจะขอให้เรียกข้อมูลการอภิปรายของนายชูวิทย์และหลักฐานการดำเนินโครงการของ สตช.มาสอบสวนเพื่อเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย
นอกจากนี้ ตนจะยื่น สตง.เพื่อขอให้ตรวจสอบการดำเนินโครงการและการใช้เงินด้วยว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องหรือไม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องการเมือง เพราะจะเอาผิดกับผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดที่แล้วหรือในรัฐบาลชุดนี้ก็ตาม เพื่อให้เป็นคดีตัวอย่าง เพราะจากข้อมูลในมือตนนั้นเชื่อว่า น่าจะคล้ายกับการทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็งในการจัดซื้อคุรุภัณฑ์ของอาชีวศึกษา ที่น่าจะทำกันเป็นขบวนการ ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องมีผู้รับผิดชอบ