“องอาจ” ย้อน รบ.“ปู” วางกลยุทธ์พลาด ดูถูกใส่ร้ายม็อบ “เสธ.อ้าย” แถมสร้างภาพส่อมีความรุนแรง แต่กลับเหลว ทำ ปชช.ร่วมเพียบ จวก รมช.มท.ป้ายแดง ทำตัวให้เหมาะสมกับตำแหน่ง จี้แจงหลักฐานบอกม็อบบุกศิริราช-พร้อมแจง “อภิสิทธิ์” ปัดเล่นนิรโทษกรรม กับผู้มีบารแม้วนอก รบ.ด้วย เป็นเหตุโดนจองล้างจองผลาญ หวังให้ตายในทางการเมือง ยัน ปชป.ไม่หวั่นพร้อมสู้ให้ความเป็นธรรม
วันนี้ (18 พ.ย.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการชุมนุมในวันเสาร์ที่ 24 พ.ย.55 ว่า ตั้งแต่ก่อนการชุมนุมครั้งแรก จนถึงวันนี้ รัฐบาลกำลังดำเนินการด้วยกลยุทธ์ที่ผิดพลาดต่อผู้ชุมนุม และการชุมนุมที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยใช้ 3 กลยุทธ สกัดกั้นการชุมนุม คือ ท้าทาย ซึ่งก่อนมีการชุมุนมครั้งแรก ก็มาท้าทายว่าเป็นม็อบไม่มีน้ำยา คนมาไม่กี่พันคน เป็นม็อบทหารแก่ไม่มีกำลัง แค่ยืนปราศรัยก็จะล้มแล้ว การท้าทายดังกล่าวเพื่อให้ผู้ชุมนุมไม่ให้ความสำคัญกับการชุมนุมและถอดใจไม่เข้าร่วม แต่กลยุทธ์แรกนี้ไม่ประสบความสำเร็จ จึงดำเนินการกลยุทธ์ที่สอง คือ ใส่ร้ายป้ายสีผู้ชุมนุม เช่น บอกมีกลุ่มทุนหนุนหลัง 6 พันล้านบาท ใส่ร้ายมีพรรคการเมืองหนุนหลังม็อบ และเลยเถิดถึงขั้นว่าจะยึดรัฐบาล จับตัวนายกรัฐมนตรี ล้อมและบุกสภา เพื่อให้มวลชนที่จะเข้าร่วมมีความรู้สึกไม่มั่นใจกลัวว่าจะเป็นเครื่องมือทางการเมืองตามที่รัฐบาลป้ายสี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
“ตรงกันข้ามจะมีมวลชนมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลก็ดำเนินกลยุทธ์ที่สาม คือ ตีปลาหน้าไซ มีมือที่สามปั่นป่วนเป็นชนวนนำไปสู่ความรุนแรง ใช้ตำรวจ 5 หมื่นนาย อาสาสมัครอีก 1 หมื่นราย เป็นการสร้างภาพความรุนแรง ทำให้ประชาชนรู้สึกเกิดความไม่ปลอดภัยในการชุมนุม เป็นการตีปลาหน้าไซ ซึ่งกลยุทธ์ทั้งสามไม่สามารถหยุดยั้งการชุมนุมได้ เนื่องจากการเคลื่อนไหวดังกล่าวผู้ร่วมการชุมนุมล้วนเป็นผู้ตัดสินใจด้วยตัวเอง ไม่ใช่การจ้างวาน หรือบีบบังคับจากส่วนราชการให้มาร่วมชุมนุม จึงย่อมตัดสินใจได้ว่ากลยุทธ์ที่รัฐบาลใช้ไม่เป็นความจริง จึงกลายเป็นการเติมเชื้อไฟให้ผู้ชุมนุมไม่พอใจรัฐบาลมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรดูแลผู้ชุมนุมตามรัฐธรรมนูญด้วยความสงบปราศจากอาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรงอย่างตรงไปตรงมา คือ ดำเนินการตามขั้นตอนจัดการชุมนุมและควบคุมการชุมนุม อย่ายั่วยุผู้ชุมนุม เพราะเป็นการเติมเชื้อไฟให้แรงขึ้นไม่เป็นผลดีต่อรัฐบาล” นายองอาจ กล่าว
ส่วนกรณีที่ นายประชา ประสพดี รมช.มหาดไทย ออกมาระบุว่า กลุ่มองค์การพิทักษ์สยามที่จะมาชุมนุมวันที่ 24-25 พ.ย.55 จะนำประชาชนไปที่ ท่าน้ำศิริราช ตนเห็นว่า ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะ รมช.มหาดไทย คงทราบดีว่า ที่ดังกล่าวอยู่ใกล้ รพ.ศิริราช ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญอย่างไร ดังนั้น การที่ รมช.มหาดไทย เลี่ยงใช้คำว่าม็อบจะไปท่าน้ำศิริราชแทนการระบุว่า รพ.ศิริราช นั้น ตนไม่เข้าใจว่าต้องการอะไร จึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ถ้ามีจริงให้เอาหลักฐานมาแสดงให้เห็น แต่ถ้าไม่มีไม่ควรพูดเช่นนี้ เพราะจะเป็นการขยายการชุมนุมให้มากยิ่งขึ้น และสร้างแรงสั่นสะเทือนความไม่พอใจในรัฐบาลมากยิ่งขึ้น นายประชาเป็นรัฐมนตรีแล้วอย่ากุข่าวรายวันเหมือนที่ผ่านมา ควรดำรงความเป็นรัฐมนตรีให้มากกว่านี้
นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลพยายามจัดการกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านที่จะเป็นผู้นำการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 26-27 พ.ย.นี้ เป็นยุทธศาสตร์ของรัฐบาลในการจัดการศัตรูทางการเมืองให้ได้ในช่วงเวลานี้ เพราะก่อนหน้านี้ รัฐบาลและผู้มีบารมีนอกรัฐบาลพยายามเจรจาหลายช่องทางที่จะให้พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ยอมรับการนิรโทษกรรมล้างผิดคนโกง แต่บุคคลทั้งสองไม่ยินยอมให้มีการนิรโทษกรรม โดยขอให้ดำเนินการตามกฎหมายเพื่อเอาผิดกับทุกฝ่ายที่ทำผิดตามกฎหมาย โดยเฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่หลบหนีหลายคดีและพรรคพวก ทำให้รัฐบาลและผู้มีบารมีนอกรัฐบาล จึงจัดการ นายอภิสทธิ์ 3 ขั้นตอน คือ 1.ทำลายล้างคุณความดีของนายอภิสิทธิ์ที่สะสมมาอย่างยาวนานด้วยการกล่าวหาว่า หนีทหาร แต่ไม่ประสบความสำเร็จ รัฐบาลก็ยอมรับว่า เป็นทหารดำเนินการปลดออกจากทหารแทน เป็นยุทธศาสตร์ทำลายล้าง ยุทธศาสตร์ที่สองคือ การสร้างปัญหา โดยมีการเร่งรีบออกคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ ในช่วงเวลาเดียวกับการถอดถอนและอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เพื่อสร้างปัญหาในการตรวจสอบ ทำให้สังคมตั้งคำถามและรัฐบาลเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ลาออกจากการเป็น ส.ส.เพื่อจะได้ไม่ต้องนำการอภิปราย เพื่อไม่ให้กระทบนายกรัฐมนตรี
“แต่ก็ตามสกัดไม่ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์ ได้ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม ยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง และ ป.ป.ช.ยุทธศาสตร์ที่สาม คือ การฆ่านายอภิสิทธิ์ ให้ตายทางการเมือง โดยยื่นเรื่องให้องค์กรอิสระหลายแห่ง ว่า การถูกปลดดังกล่าวต้องพ้นสภาพความเป็น ส.ส.ซึ่งเป็นการฆ่าให้ตายทางการเมือง ทั้งนี้ เห็นว่า ทั้งหมดเกิดขึ้น เพราะนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ ไม่เออออห่อหมกในเรื่องล้างผิดคนโกง และจะมีการดำเนินการอย่างเข้มข้นต่อไป แต่พรรคพร้อมที่จะรับมือกับรัฐบาล และผู้มีบารมีนอกรัฐบาล เพื่อเรียกความชอบธรรมให้นายอภิสิทธิ์ เพราะเชื่อมั่นในองค์กรอิสระว่าจะให้ความเป็นธรรมได้” นายองอาจ กล่าว