ครม.เห็นชอบตั้งเขตการค้าข้าวอาเซียน ทำแถลงร่วมป้องกันประเทศไทย-มะกัน

รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.เห็นชอบจัดตั้งกลไกความร่วมมือตลาดข้าวอาเซียนและจัดตั้งเขตพิเศษการค้าอาเซียน รวม 5 ชาติผู้ส่งออก สั่ง พณ.ศึกษาแนวทาง - เห็นชอบทำแถลงการร่วมพันธมิตรป้องกันประเทศไทย-สหรัฐฯ - อนุมัติคุ้มครองประกันสังคมแรงงานนอกระบบ - เห็นชอบข้อเสนอ ป.ป.ช.ป้องกันโกงอี-อ็อกชัน

วันนี้ (12 พ.ย.) ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 12.15 น. นายภักดีหาญส์ หิมะทองคำ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบจัดตั้งกลไกความร่วมมือด้านตลาดข้าวอาเซียน และการจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียน (Rice Trade Zone) ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1. แนวทางการจัดตั้งกลไกความร่วมมือตลาดอาเซียน ในส่วนของประเทศผู้ผลิตและผู้ส่งออกสำคัญ 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา, ลาว, พม่า, เวียดนาม และไทย โดยจะมีการจัดประชุมใน 3 ระดับ คือ การประชุมในระดับรัฐมนตรี การประชุมคณะกรรมการความร่วมมือด้านข้าวอาเซียน และการประชุมของสมาพันธ์โรงสีและผู้ค้าข้าวอาเซียน

นายภักดีหาญส์ กล่าวว่า 2. ครม.มอบหมายกระทรวงพาณิชย์จัดตั้งคณะทำงานศึกษาแนวทาง ข้อเสนอ และมาตรการเพื่อจัดตั้งเขตพิเศษการค้าข้าวอาเซียน โดยในเบื้องต้นการศึกษาแนวทางนี้จะกำหนดขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมประเด็นต่างๆ ได้แก่ พื้นที่ที่เหมาะสม ระบบกลไกการควบคุม ข้อกฎหมาย กระบวนการจัดตั้ง และบุคลากร เป็นต้น ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์เสนอ ครม.พิจารณาว่าการจัดตั้งกลไกความร่วมมือดังกล่าวว่ามีความสำคัญและจำเป็นในการผลักดันการสร้างความร่วมมือด้านสินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าข้าวของประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียนให้ได้รับการพัฒนา เป็นการสร้างเสถียรภาพราคาข้าวในตลาดโลก เกิดความมั่นคงทางด้านอาหารในภูมิภาคอย่างยั่งยืน และป้องกันการลักลอบจำนำข้าวจากประเทศที่มีชายแดนติดต่อกับประเทศไทย

นายภักดีหาญส์แถลงว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอให้จัดทำแถลงการณ์วิสัยทัศน์ร่วมว่าด้วยการเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศไทย-สหรัฐอเมริกา 2012 โดย รมว.กลาโหมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย โดยมีสาระสำคัญเพื่อเป็นการแสดงจุดยืนถึงการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งจะมุ่งเน้นในการเป็นหุ้นส่วนในการสร้างความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สนับสนุนความมีเสถียรภาพในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก การพัฒนาความพร้อมและขีดความสามารถในการปฏิบัติการร่วมทั้งระดับทวิภาคีและพหุภาคี และพัฒนาความสัมพันธ์ การประสานงานและสร้างความร่วมมือในทุกระดับ

ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของความเป็นพันธมิตรด้านการป้องกันประเทศในศตวรรษที่ 21 และรับรู้ว่าความสัมพันธ์ทางทหารจะส่งเสริมเกื้อกูลความสัมพันธ์ด้านอื่นๆ รวมทั้งความสัมพันธ์ทางการทูต เศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน รัฐบาลและประชาชนของทั้งสองประเทศ เพื่อที่จะบรรลุสันติภาพและความเจริญยิ่งๆขึ้นไปของทั้งสองประเทศ

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติตามที่กระทรวงแรงงานเสนอกรณีดำเนินงานคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ โดยอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 หรืองบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินไม่เกิน 461,076,000 บาท เพื่อช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา 60 แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม เป็นระยะเวลา 11 เดือน นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2555 -ก.ย. 2556

นอกจากนี้ ครม.อนุมัติงบกลางจำนวนเงินไม่เกิน 46,575,400 บาท เป็นค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้แรงงานนอกระบบเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ.ประกันสังคม ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานดำเนินการขยายความคุ้มครองประกันสังคมแรงงานนอกระบบอาชีพต่างๆ อาทิ เกษตกร ผู้ขับขี่ยานพาหนะรับจ้าง ผู้ประกอบอาชีพรับจ้างอิสระ ผู้ค้าขายหาบเร่ และแผงลอย เป็นต้น ให้ได้รับความคุ้มครองประกันสังคม โดยการปรับปรุง พ.ร.ฎ.กำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบประเภทประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคลที่สมัครเป็นผู้ประกันตน โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 54 โดยกำหนดหลักเกณฑ์ในระยะเริ่มแรกให้ผู้ประกันตนที่เลือกสิทธิประโยชน์ตามมารตรา 8 จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนในอัตราเดือนละ 100 บาท

อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานตั้งเป้าหมายดำเนินการภายในเดือน ก.ย. 2555 จำนวน 1.20 ล้านราย โดยวันที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมามีผู้ประกันตนฯจำนวน 1,068,839 ราย คิดเป็นอัตราร้อยละ 89.07 ของเป้าหมาย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล และภาคกลางมีผู้สมัครมากกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยเรียงลำดับตามอาชีพที่สมัครจากมากที่สุดถึงน้อยที่สุดคือ รับจ้างหรือรับเหมา เกษตรกรรม ค้าขายหรือหาบเร่แผงลอย ผู้ประกอบการอาชีพอื่นๆ อาชีพอิสระ ยานพาหนะรับจ้าง ช่างฝีมือ และรับงานไปทำที่บ้าน ตามลำดับ

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงว่า ครม.มีมติเห็นชอบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่องการป้องกันการทุจริตจาการใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) ตามที่ประธานกรรมการ ป.ป.ช.เสนอ โดยเห็นว่าสมควรกำหนดแนวทางในการปรับปรุงระบบ e-Auction เพื่อให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นและเพื่อป้องกันการสมยอมราคากันในการเสนอราคา การทุจริตต่อหน้าที่และการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยจะนำความโปร่งใส การแข่งขันในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม คุ้มค่าและประหยัดงบประมาณแผ่นดิน

ทั้งนี้ ได้เสนอให้กระทรวงการคลังพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระบบ e-Auction ดังนี้ กรมบัญชีกลางต้องควบคุมหน่วยงานของรัฐไม่ให้นำวิธี e-Auction ไปใช้ในงานประมูลก่อสร้างที่มีรายละเอียดยุ่งยากซับซ้อนหรือมีเทคโนโลยีขั้นสูง โดยให้กรมบัญชีกลางเป็นผู้กำหนดรายละเอียดและประเภทของงานที่ให้ใช้และไม่ให้ใช้วิธี e-Auction และให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับระยะเวลาและการดำเนินการในการเสนอราคาทุกขั้นตอนของ e-Auction อย่างเคร่งครัดเพื่อความโปร่งใสและให้มีหน่วยงานทำหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่มีการจัดซื้อจัดจ้าง รวมทั้งให้เปิดเผยข้อกำหนด TOR ร่างสัญญาและข้อตกลงแนบท้ายสัญญาในระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์จากทุกฝ่ายอย่างเปิดเผยก่อนที่จะมีการอนุมัติใช้หรือกำหนด TOR เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเสนอราคาซึ่งต้องมีการกำหนดมาตรฐานที่ชัดเจน

นอกจากนี้ควรมีการเร่งรัดให้มีการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับราคากลางไว้ในระบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของทุกหน่วยงานรัฐ เพื่อให้ประชาชนสามารถตรวจดูได้และจัดทำมาตรฐานวิธีการคำนวณราคากลางที่ถูกต้องและเป็นธรรม และให้มีสถาบันวิชาชีพทำหน้าที่ในการรับรองคุณสมบัติของผู้ทำหน้าที่คิดคำนวณราคากลาง ทั้งนี้ กรมบัญชีกลางต้องดำเนินการควบคุมตรวจสอบดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ในการกำกับการแข่งขันราคาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดและเร่งรัดในเรื่องการพัฒนาระบบการจัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีการอิเล็กทรอนิกส์ให้แล้วเสร็จเป็นระบบที่แท้จริงเต็มรูปแบบโดยเร็วและนำระบบดังกล่าวไปใช้ในทุกขั้นตอนของการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐเพื่อความโปร่งใส